แอมป์จากประเทศเยอรมันตัวนี้ชื่อเสียงค่อนข้างเงียบในต่างประเทศครับ ผมค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจแอมป์ตัวนี้เท่าไหร่ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าคนที่ผลิตแอมป์ตัวนี้คือคนเดียวกันกับผู้ที่ผลิตแอมป์ Penguin ทำให้ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไหร่ ทั้งๆที่เป็นแอมป์ที่ให้น้ำเสียงได้ดีตัวนึงเลยทีเดียว แถมยังมีราคาไม่สูงมาก เรียกได้ว่า คุณภาพเสียงกับราคาค่อนข้างสมเหตุสมผลเลยทีเดียว
วัสดุภายนอกของตัวแอมป์อาจจะดูธรรมดาหน่อย เพราะใช้พลาสติกสีดำทำเป็น Body แต่ก็เป็นพลาสติกเกรดดีที่ค่อนข้างเหนียวทนทานและหนาใช้ได้เลยครับ ปุ่มลูกบิดจะคล้ายๆของทาง Penguin Amp แต่ตัวที่ผมได้จะเป็นลูกบิดอีกแบบ คิดว่าตัวปุ่มบิดแบบที่คนอื่นๆใช้กันของผลิตมาไม่ทันในช่วงนั้น ซึ่งผมก็ค่อนข้างชอบลูกบิดตัวนี้อยู่แล้ว แต่ด้วยความรับผิดชอบของทางผู้ผลิต หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานก็มีลูกบิดอันใหม่ส่งมาถึงผม ทั้งๆที่เค้าไม่ต้องส่งมาให้ก็ได้ เพราะค่าส่งจากเยอรมันมาเมืองไทยก็ไม่ได้ถูกเท่าไหร่ แต่ด้วยสปิริทอันแรงกล้า ทางนั้นก็เลยจัดส่งมา ผมเลยค่อนข้างทึ่งและสบายใจในเรื่องเซอร์วิสหลังการขาย
สิ่งที่ผมชอบสำหรับแอมป์ตัวนี้คือ วงจรการชาร์ตถ่านครับ โดยปรกติแอมป์ทั่วๆไปจะเป็นแบบชาร์ตตรงๆ หรือไม่ก็มีระบบการตัดไฟเมื่อถ่านที่ชาร์ตนั้นเต็ม แต่ตัว headstage มีปุ่มปรับสำหรับยกเลิกโหมดการชาร์ตได้ด้วยครับ มันจะเหมาะกับกรณีที่เราใช้ถ่านธรรมดาเป็นหลัก เพราะถ้าระบบชาร์ตทำงานอยู่ แล้วเราเสียบถ่านธรรมดาเอาไว้จากนั้นก็เอาหม้อแปลงไฟมาเสียบ ตัววงจรก็จะปล่อยให้กระแสไฟไหลเข้าสู่ถ่านทำให้ถ่านเสียหาย ดังนั้นการมีปุ่มปรับปิดและเปิดจึงถือเป็นไอเดียที่ดีครับ เพราะผมมักจะไม่ค่อยถอดถ่านออกมาเท่าไหร่ อีกอย่างแอมป์ตัวนี้ถอดถ่านค่อนข้างยากพอตัวครับ บางทีต้องหาอุปกรณ์เสริมอย่าง ไขควงขนาดเล็ก มาช่วยงัดถ่านออกมาครับ แต่โดยรวมถือว่าโอเคทีเดียว
แอมป์ตัวนี้ทางบริษัทได้อ้างว่า ออกแบบมาเพื่อให้ขับหูฟัง Fullsize ที่ขับยากๆได้ ซึ่งเท่าที่ผมทดลองก็เห็นจะจริงอย่างเค้าว่าครับ แต่ก็ยังไม่สามารถขับหูฟังโหดๆระดับ 200-300 โอห์มต่อข้างได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องไม่เสียหายแต่อย่างใด เพราะลำพังแอมป์ทั่วๆไปก็ขับหูฟังระดับนั้นไม่ค่อยจะออกอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องของเสียงนั้น แรกเริ่มเดิมทีตอนได้มาใหม่ๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่สมชื่อ Headstage เลยครับ เพราะช่วงมิติเสียงกลาง หรือ Headstage หรือ soundstage ด้านลึก มันไม่ได้ลึกสูงขึ้นไปอย่างที่คิด แถมยังค่อนข้างต่ำกว่าปรกติด้วยครับ ทำให้ soundstage เลยดูกว้างออกไปอีกเล็กน้อย แต่หลังจากที่ผ่านการเบิร์นไปจนถึง 100 ชั่วโมงแล้ว ก็ค่อยเริ่มที่จะสมชื่อ Headstage หน่อย
แอมป์ค่อนข้างให้น้ำเสียงที่คมและชัด ถึงแม้ว่าเสียงของแอมป์จะคมแต่ก็ไม่จัดจ้านจนบาดหูแถมยังมี Focus ของเสียงที่ดี ทำให้เสียงที่ได้มีความนิ่งในทุกๆย่าน และยังช่วยเสริมในเรื่องของการแบ่งแยกชิ้นดนตรีทำให้แบ่งแยกได้ดีและมีความชัดเจนจนสัมผัสชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นได้ง่าย แถมด้วยความที่ได้ชื่อว่า Headstage เลยทำให้มิติเสียงกลางนั้นยิ่งลึกขึ้นไปอีก แต่ soundstage ก็ยังคงเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก
นอกจากความชัดแล้ว ยังช่วยเพิ่ม impact หรือหัวโน้ตในทุกๆย่านให้อีกด้วย ทำให้รับรู้ถึงน้ำหนักทั้งจากการลงสายกีต้าร์ และกลองได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม แถมยังช่วยให้รู้สึกว่าดนตรีมีความสดมากขึ้นมาจากเดิมอีกนิดนึง โดยเฉพาะช่วงที่มือกลองตีลงบนสแนร์นั้น ตัว headstage ก็ช่วยให้ได้ยินรายละเอียดของสแนร์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก จากปรกติที่จะได้ยินเสียงลงกลองบางๆ พอฟังผ่าน Headstage ก็ให้รู้สึกถึงการสั่นของผิวกลองสแนร์ได้ดียิ่งขึ้น แถมยังช่วยเสริมน้ำหนักของไฮแฮทและแฉ ให้มีมวลและมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้ว่าจะมีการ Focus ของชิ้นดนตรีที่นิ่ง แต่เสียงสูงก็ไม่ได้ถูกบีบขาดความพลิ้วไหว เพราะเสียงสูงก็ยังคงส่งช่วงปลายได้จนสุดตามปรกติ ไม่มีอาการห้วนให้เห็น แถมยังช่วยให้ได้ยินรายละเอียดของเสียงสูงได้ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตัวแอมป์จะช่วยบีบอัดขอบเสียงไม่ให้ส่วนที่พร่ามัวออกมามากเกินควร ทำให้ช่วงที่เป็นประกายมีความระยิบระยับมากขึ้นกว่าเดิม อาจจะไม่ถึงขนาด Triple.fi 10 pro ทำได้ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นกว่าเดิมมากครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับหูฟังด้วยนะครับ เพราะบางตัวไม่ได้เน้นเรื่องเสียงสูง พวก detail ต่างๆมันก็ไม่ออกมาเหมือนกันครับ
เสียงเบสจะถูก Focus จนแน่น ชัด และให้ทั้ง Middle กับ Impact ที่ดีมากๆ มีมวลและ impact แบบสัมผัสได้ แต่ให้ช่วง deep ได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะรูปแบบของแอมป์ไม่ได้เน้น Deep เบสเป็นหลักอยู่แล้วครับ จริงๆก็ไม่ถึงกับว่ามันไม่มี deep เลยนะครับ คือพอมีบ้างแต่ไม่ได้มากและลากเหมือนแอมป์ที่เน้นเบสทั่วๆไป ดังนั้นเบสที่ได้เลยจะกระชับฉบับไวและมีน้ำหนัก
ช่วงที่ทดสอบ ผมได้ลองเอาหูฟังที่ให้เบสหนาๆอย่าง CX300 และ CX400 มาลองต่อผ่าน Headstage ดูโดยไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย ผลปรากฏว่า มันทำให้เสียงของ CX300 และ CX400 ดูเข้าท่ามากขึ้นครับ เพราะมันช่วยให้ช่วงมิติเสียงกลางที่เป็นจุดเด่นของ CX300 และ CX400 ลึกขึ้นไปอีก ทำให้ฟังดูโปร่งมากขึ้น ทำยัง Focus ชิ้นดนตรีแต่ชิ้นจนนิ่ง CX300 และ CX400 เลยแยกชิ้นดนตรีได้ดีขึ้นกว่าเดิม แถมเบสที่เคยฟุ้งและออกบวมเล็กน้อยก็ถูกทำให้นิ่งขึ้น ชัดเจนขึ้น เรียกว่าเบสฟังดูมีคุณภาพขึ้นถนัดหูเลยครับ ถ้าใครมี CX400 ไว้ในครอบครองแล้วเกิดไม่ชอบเบสที่ออกหนาๆแบบนั้นก็ลองหา headstage มาช่วยปรับได้ครับ มันช่วยได้ดีขึ้นได้จริงๆ
ส่วน Fullsize ที่ใช้ทดสอบก็มี K701 ที่ค่อนข้างขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของการเลือกแอมป์ พอเอามาประกบกับ Headstage ก็ถือว่าให้เสียงที่ใช้ได้เหมือนกันครับ ถึงแม้จะไม่ช่วยเสริมในจุดของเบสที่ K701 ค่อนข้างจากอ่อนในเรื่องนี้ แต่ก็ทำให้เสียงย่านอื่นๆนิ่งและชัดเจนได้ดีครับ เรียกว่าขับออกมาได้เกือบเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยทีเดียว ขาดแค่ส่วนเบสที่น่าจะให้มวลหนาขึ้นกว่านี้อีกนิดหน่อย และให้ Middle ได้แน่นกว่านี้อีกนิดนึง ก็จะ Perfect เลยครับ
ตัว Headstage ในตอนแรกๆมีเพียงรุ่นที่เป็นแอมป์ธรรมดาเท่านั้น แต่หลังๆเห็นมีรุ่นที่เป็น DAC ในตัวด้วยครับ สำหรับคนที่สงสัยนะครับ คำว่า DAC มาจาก Digital–To–Analog Converter ซึ่งก็เป็นตัวที่แปลงภาคสัญญาณจากดิจิตอลให้มาเป็นอนาล๊อคนั่นเอง ปรกติในเครื่องเสียงต่างๆมักจะมี DAC ในตัวอยู่แล้วครับ รวมทั้ง iPOD ด้วย ส่วน DAC ภายนอกที่มีส่วนใหญ่อย่างใน headstage รุ่นสูงๆนี่ ถ้าเกิดเป็นการต่อแบบ USB คนส่วนใหญ่จะนำมาใช้แทน Soundcard ในเครื่องคอมพิวเตอร์ครับ เพราะต่อจาก USB เข้าสู่ DAC ก็สามารถให้เสียงได้เหมือน soundcard ครับ แต่ DAC บางรุ่นจะเป็นแบบ Optical ซึ่งถ้าเป็น Optical ส่วนใหญ่จะเอาไว้ต่อกับเครื่องเสียงบ้าน หรือไม่ก็ Player บางตัวอย่าง iRiver H120 กับ H140 ที่มีภาค lineout เป็นแบบ Opitcal ด้วย ตรงนี้ก็แล้วแต่ชอบครับว่าจะเลือกแบบธรรมดาหรือเป็นแบบมี DAC ในตัว ส่วนราคาค่าตัวนี่ ตัวมี DAC ก็แพงกว่าธรรมดาเล็กน้อยครับ
1 ความคิดเห็น:
ตามอ่านมาพักนึง อยากได้ตัวนี้ เเต่หาไม่มี ไม่รุ้หาได้ที่ใหนบ้างครับ
แสดงความคิดเห็น