วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
[ Review ] Fostex TH-7 สุดยอดหูฟัง monitor ที่เหมาะกับการฟังเพลง!!
ชื่อของ Fostex น่าจะเป็นแบรนด์ที่หลายๆคนเคยได้เห็นบ้างแล้ว จริงๆถ้าไม่ออกรุ่นเทพอย่าง “TH900” กับสุดยอด DAC อย่าง HP-P1 และ HP-A8C ผมก็คิดว่าบ้านเราก็คงไม่คุ้นชื่อกันแน่นอน จริงๆแล้ว แบรนด์ Fostex ค่อนข้างโด่งดังในทางสาย monitor มากกว่า แต่ถ้าพูดถึงในแง่การฟังเพลง audiophile แล้ว รุ่นที่มีชื่อเสียงโด่งดังจะเป็นรุ่น “T50RP” ที่ทาง Head-fi จะจับมาโมเล่นมากที่สุด เพราะใช้ Driver แบบ orthodynamic และราคาไม่สูงมาก เลยตกเป็นเป้าของการโมอย่างเลี่ยงไม่ได้ เร็วๆนี้ก็น่าจะมี review ตัว T50RP ออกมานะครับ ต้องรอ burn กันพักนึง
หลังจากที่ทาง Fostex ตั้งใจลงมาเล่นตลาด consumer บ้าง โดยเปิดตัวด้วยรุ่นสุดยอดอย่าง “TH900” ออกมา ก็คลอดเอารุ่นน้องๆอย่าง TH-7 series และ TH-5 series ออกมาด้วย ซึ่งทั้งสองรุ่นเองก็จะมีที่เป็นส่วนรหัสของทางฝั่ง Pro Audio ด้วยเช่นกัน แต่จะแตกต่างกันในเรื่องน้ำเสียง และเรื่องสีสัน ที่เสียงของทางฝั่งโปรจะเที่ยงตรงและแม่นยำ ในขณะที่ของทางฝั่ง consumer จะเน้นให้ฟังได้ง่ายขึ้น เหมาะกับแนวเพลงที่มีอยู่หลากหลายในท้องตลาด
รูปลักษณ์ภายนอก
ตัวที่ผมได้มาเป็นรุ่น TH-7W ซึ่งตัว W หมายถึงสีขาวครับ รุ่นนี้เองจะมีสองสีคือ ขาวกับดำ แต่ผมจะชอบขาวมากกว่าเพราะมันจะดูเป็นแฟชั่นมากกว่าสีดำ ตัว Body เองเป็นพลาสติกแบบด้านซึ่งก็ดูแล้วทนไม้ทนมือด้วยครับ พลาสติกค่อนข้างเหนียวมาก อย่างน้อยๆด้วยความเป็นหูฟัง monitor มาก่อน ทำให้ต้องทำให้หูฟังที่ค่อนข้างทนทานเป็นพิเศษ แม้กระทั่งสายเองก็ค่อนข้างจะหนากว่าหูฟังในระดับราคาใกล้ๆกัน ทำให้เรื่องสายขาดนี่หายห่วงได้เลยครับ ที่สำคัญ ยังแถมสายต่อที่เป็นสายแปลง 3.5 - 6.3 มาให้ด้วย ปรกติหูฟังทั่วๆไปจะให้มาเป็นแจ๊คแปลงธรรมดา แต่ของ TH-7W จัดมาทั้งเส้นให้เลย ข้อดีของสายแปลงคือมันจะไม่ทำให้รูแจ๊คเราเสียจากการโดนงัด เพราะถ้าเราต่อเป็นแจ๊คแปลงแล้วต่อซ้ำด้วยแจ๊ค 3.5 จากหูฟัง มันจะยาวเกินจนทำให้มีโอกาสงัดให้รูแจ๊คเสียได้ จริงๆเปอร์เซ็นต์ที่เกิดอาจจะน้อย แต่มีความเป็นไปได้ เพราะผมเคยโดนมาด้วยตัวเองแล้ว แต่ข้อเสียคือ การที่แถมเป็นสายต่อมาแสดงว่าสายติดหูฟังมันต้องสั้น ดังนั้นถ้าเราต้องการต่อเพื่อเพิ่มความยาวก็อาจจะต้องหาแอมป์ที่เป็นแจ๊ค 6.3 หรือเป็นหัวแปลงมาต่ออีกที
ตัวหูฟังค่อนข้างใส่สบายไม่หนีบหูเท่าไหร่ ตัว PAD เองก็ค่อนข้างนิ่มและส่วนของ headband เองก็ยังบุฟองน้ำค่อนข้างหนาครับแต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกนิ่มหัวเท่าไหร่ น่าจะเสริมให้หนาเพื่อให้ตำแหน่งของหูฟังพอดีกับหูมากกว่า ตรงช่วงก้านหูติดกับที่ปรับระดับจะมีลูกเล่นนิดนึงโดยการใส่สีเข้าไปเพื่อ Mark ตำแหน่งของหูฟังว่าด้านนั้นเป็นหูข้างซ้าย ถ้าเป็นของสีขาวจะเป็น Mark สีม่วง แต่ของสีดำจะเป็น Mark สีเขียว แต่ตามความรู้สึกผม มันน่าจะ mark ข้างขวามากกว่านะ อันนี้น่าจะมาจากความเคยชินของคนที่ใช้งานหูฟัง Studio ที่ปรกติจะดูจากสายที่มักจะไม่ได้ wire เป็นสายคู่ แต่จะเป็นสายเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่และจะเข้าที่ด้านซ้ายเสมอ ดังนั้นเค้าจะดูกันที่ฝั่งซ้ายเป็นหลัก Mark ก็เลยไปอยู่ที่ฝั่งซ้ายมากกว่า ส่วนตัวสไลด์เลื่อนปรับระดับทำได้ลื่นมือดีมากๆครับ มันเป็นแบบ Stepping Lock แต่ค่อนข้าง Smooth แถมยังซ่อนตัวล๊อคไว้เนียนตามากๆ เพราะเอาไปไว้ด้านในก้านเลย ส่วนใหญ่ที่เคยเห็นจะเอาออกมาโชว์กันดิบๆ อันนี้ถือว่าเก็บงานได้ดีมากครับ
หน้ากล่องนอกจากจะเอาบรรดาสัตว์มาใส่หูฟังโชว์ความน่ารักกันแล้ว ด้านในยังมีโปสการ์ดเป็นรูปสัตว์ใส่หูฟังแถมมาให้อีก อันที่ผมเอามาทดสอบด้านหน้าเป็นรูปสุนัขใส่หูฟัง แต่เปิดมากลายเป็นแมวใส่หูฟังบนโปสการ์ด ก็พอดีกันเลยหมากับแมว คู่กัดกันพอดิบพอดี แต่ส่วนที่ผมชอบที่สุดคืองาน Design Packaging ที่แทบไม่ต้องทิ้งอะไรเลยให้มันเกิดขยะกับสิ่งแวดล้อม เพราะตัวกล่องเองก็สามารถเอามาใช้เป็นเคสใส่หูฟังได้เลย เพราะเป็นเคสแข็งที่แข็งแรงมาก ส่วนตัวหุ้มพลาสติกใสที่เป็นลายสัตว์น่ารักใส่หูฟัง ก็สามารถแกะและติดใหม่เหมือนเดิมได้ พูดง่ายๆคือซื้อหูฟังและได้เคสใส่ทันที เวลาขายต่อก็สบายไม่ต้องมานั่งหากล่องใส่ที่มักจะไม่ค่อยเจอเวลาจะขายขึ้นมา
เรื่องของเสียง
ในส่วนของเสียงนี่ ถ้าพูดถึงแนวของเสียงก็จะอิงออกไปทางสไตล์ monitor อยู่ แม้ว่าจะมีการปรับให้ฟังได้ง่ายขึ้นแล้วแต่ signature ในแบบ monitor ก็ยังมีเจือปนอยู่ เรื่องมิตินี่ทำได้ดีเลยครับ ผมว่าระยะหลังๆที่ฟังหูฟังมาหลายๆตัว ยังไม่พบหูฟังที่ให้มิติแบนๆเหมือนหูฟังสมัยก่อนเลยครับ ตัวนี้ก็เช่นกันครับ ให้มิติที่ดีมาก แต่ยังสู้ Aurvana Live ไม่ได้ อันนั้นมิติจะดีกว่าเยอะ การวางชิ้นดนตรีจะลึกไปทางหลังหัวและบางชิ้นก็จะขึ้นไปอยู่ Headstage หรือมิติเสียงกลาง ส่วนของ soundstage ค่อนข้างกว้างรูปทรงโดยรวมจะออกเป็นลักษณะวงรีแบบลูกรักบี้ แต่ปรกติ fullsize ส่วนใหญ่ก็มักจะให้มิติสไตล์แบบนี้อยู่แล้วครับ
การวาง image ของเสียงค่อนข้างนิ่งมากๆครับ ตำแหน่งเป๊ะไม่ค่อยเปลี่ยน แต่การวางชิ้นดนตรีจะค่อนข้างลอยๆนิดนึง สังเกตว่าเพลงที่มีการไล่จังหวะกลองไปตำแหน่งต่างๆจะให้ความรู้สึกเหมือนกลองอยู่คนละที่ ไม่เรียงกันเป็นชุดเดียว แต่พวกเครื่องสายจะเด่นมากครับ เพราะโดย signature ของหูฟังที่มีความเป็น monitor อยู่เล็กๆ ดังนั้นเสียงสูงเลยจะค่อนข้างชัดเป็นพิเศษ ดังนั้นพวกเครื่องสายหรือไลน์กีต้าร์จะชัดมากๆ แต่หัวโน้ตย่านสูงจะไม่เด่นเท่าไหร่ครับ คือพอมีแต่ไม่ถึงกับแน่นกระชับ เพราะจะหนักไปทางเนื้อและปลายเสียงมากว่า ทำให้ไลน์กีต้าร์เลยดูไม่คมเด่น ดีดลงไม่เป็นเส้นชัดๆ แต่เสียงไฮแฮทและเสียงแฉชัดดีมากครับ จังหวะการเคาะให้น้ำหนักดีมากครับ และเสียงแฉแต่ละตำแหน่งก็ให้น้ำหนักเสียงได้ดี แยกแยะได้ออกว่าเป็นคนละใบ ไม่มีอาการเสียงกลืนเป็นเสียงเดียวกันน้ำหนักเท่ากัน
ในส่วนเสียงกลางเอง เสียงร้องจะติดเนื้อบางหน่อย มวลถือว่าน้อยไม่ได้แน่นมาก แต่ focus ค่อนข้างดีทีเดียว และให้ image ที่ค่อนข้างใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตจนบังชิ้นดนตรีย่านอื่นหมด เสียงร้องออกแนวชัดๆและมีปลายเสียงแหลมที่ดีไม่บาดหู เวลาฟังเพลงที่เป็นนักร้องผู้หญิงร้องจะให้ความรู้สึกเย็นนิดๆ ไม่แห้งผาด แนวจะคล้ายๆกับของ A900 ครับ แต่ว่าเสียงสูงของ TH-7W จะคมกว่านิดๆ และ A900 ใส่สบายกว่า ทรวดทรงของ image ค่อนข้างดีครับ ให้อารมณ์แบบมีมิติที่ชัดเจน ไม่แบน และค่อนข้างห่างจากหัวเราพอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับเพลงด้วยครับ บางเพลงก็ค่อนข้างเข้ามาใกล้หัวเรา
เสียงชุดกลองทำได้ดีมากครับ น้ำหนักโทนเสียงของทอมแต่ละใบแยกแยะได้ชัดเจน หัวโน้ตชัดมากแต่มวลเนื้อน้อยไปนิดทำให้น้ำหนักของกลองเลยดูขาดพลังไปหน่อย ส่วนสแนร์ชัดมากครับ และให้เสียงสแนร์ค่อนข้างสมจริงมากๆ ได้ยินเสียงกระทั่งโซ่สแนร์ด้วยซ้ำครับ แต่ยังให้รายละเอียดได้ไม่สมบูรณ์เท่าหูฟังแบบ IEM ที่เป็น Multi Driver หรือ HD800 แต่ด้วยการต่อผ่าน iPOD ธรรมดา ให้ได้ขนาดนี้ถือว่าดีแล้วครับ
เสียงเบสถ้าพูดตามตรงถือว่าอยู่ในระดับไม่เยอะมาก โดยเฉพาะหัวโน้ต หรือ impact ที่อยู่ในระดับกำลังพอดีๆ ไม่น้อยจนโหวง หรือไม่มากจนล้น แต่อาจจะไม่ถูกใจขาเบสที่นิยม impact เยอะๆ มวลหนาๆ แต่สำหรับผมแล้วระดับเบสของตัวนี้อยู่ในระดับพอเหมาะต่อการฟังเพลงแล้วละครับ
ในส่วน middle เบสค่อนข้างจะเด่นกว่าเพื่อนครับ เพราะตัวนี้ deep เบสค่อนข้างน้อย คือสัดส่วนของ middle จะมาอันดับหนึ่ง ตามด้วย impact และค่อยปิดท้ายด้วย deep ด้วยความที่ middle เด่นเลยทำให้ melody เบสของตัวนี้จัดอยู่ในระดับที่ดีทีเดียวครับ แม้จะไม่แน่นเปรี๊ยะ หรือมีมวลที่หนา แต่การให้รายละเอียดเบสก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ตำแหน่ง image เบสจะถอยไปค่อนข้างลึกในทางหลังหัวเราเลยครับ ถ้าได้แอมป์ดีๆหรือ dac ดีๆมาเสริมก็จะช่วยให้เนื้อเบสชัดขึ้นอีกครับ ผมลองต่อกับ HP-P1 ก็ทำให้การแยกชิ้นดนตรีชัดเจนมากขึ้น และตำแหน่งเบสดียิ่งขึ้น ชัดเจนขึ้น ใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงเวลาเราปรับ focus กล้องน่ะครับ การต่อแบบต่อตรงจะเหมือนเราปรับ focus ไม่เข้าที่จะมีเบลอๆนิดหน่อย แต่พอ focus ล๊อคลงตัวเป๊ะ ภาพก็จะชัดคม การต่อผ่าน HP-P1 ก็จะให้อารมณ์เช่นนั้นครับ
การวาง space ให้กับ image ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นก็วางได้กำลังเหมาะครับ ไม่ห่างจนเวิ้งว้างเหมือน K701 อาจจะเพราะชิ้นดนตรีไม่ได้เล็กมากด้วย ก็เลยทำให้มันดูกำลังเหมาะไปหมด ที่สำคัญคือมันไม่ตีกันเลยยกเว้นเวลาเจอเพลงที่ชิ้นดนตรีเยอะๆ ที่จะออกอาการบ้าง กลองที่รัวๆอยู่ก็จะออกบางไปเลยแต่ก็เป็นเรื่องปรกติของหูฟังแบบ Single Driver ที่จะได้เจอ แต่โดยรวมผมถือว่าโอเคแล้วครับ ในระดับราคาก็ถือว่าใช้ได้ แม้เสียงจะออก color ไปนิดๆ ซึ่งก็ช่วยทำให้ฟังเพลงสนุกขึ้น เสียงโดยรวมออกแนวชัดแต่ไม่แห้งผาด และกัดหู แต่ตัวหูฟังเป็นแนวแบบ semi-open ดังนั้นเสียงอาจจะเล็ดลอดไปให้คนอื่นฟังได้บ้างในยามที่พกไปฟังบนรถไฟฟ้า ผมว่ามันพอจะฟังนอกบ้านได้นะแม้จะพับไม่ได้ก็ตาม แต่มันก็ไม่ถึงกับใหญ่เกะกะจนไม่เหมาะกับการพกพา ถ้าใครอยากได้หูฟังถึกๆ เสียงชัด มิติโอเค ไม่เน้นเบสทรงพลัง ตัว TH-7W เหมาะกับคุณสุดๆแล้วครับ ถ้าอยากได้เบสมากกว่านี้ต้องตัว TH-5W ครับ อันนั้นเบสเยอะกว่ามากๆ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น