วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Review Ultrasone HFI-580

Ultrasone HFI-580





http://macdd.com/macddv3/images/stories/news_update/UltrasoneHFI-580/hfi_580_diagonal_open_300dp.jpg


หู ฟังสัญชาติเยอรมันของค่ายนี้ ถ้าว่ากันตามตรง ไม่ค่อยจะเป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่นัก ทั้งๆที่มีตัวแืทนจำหน่ายในไทยมานานแสนนานแล้ว แต่ด้วยความที่ทาง Distributor ในไทยไม่ค่อยจะโปรโมทเท่าไหร่ ทำให้ชื่อ Ultrasone ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทยเท่าไหร่นัก ผิดกับ Shure , Sennheiser และ Grado ที่พูดเมื่อไหร่ก็ร้อง "อ๋อ" เมื่อนั้น ล่าสุดทาง Music2home เองรับไม้ต่อมาจาก Distributor คนเดิม เท่าที่คุยเห็นว่า ทาง Music2home เองก็จะเริ่มทำตลาดจริงจังแล้ว ดังนั้นคิดว่า Ultrasone ก็น่าจะเป็นที่คุ้นหูของคนไทยขึ้นบ้างล่ะครับ แต่ใน Head-fi ผมว่าเป็นยี่ห้อที่ดังพอสมควรเลยนะครับ


ตัว Ultrasone HFI-580 นี่ ผมได้มาซักพักใหญ่ๆแล้ว จริงๆได้มาหลายรุ่นเลย แต่มาเจาะจงที่รุ่นนี้เป็นอันดับแรกก่อน ตัวที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง เพราะตัวนี้มีอะไรให้พูดถึงมากอยู่พอสมควรครับ


หนแรกที่ผมฟัง HFI-580 ผมค่อนข้างมึนๆเล็กน้อย เนื่องจากไม่ชินกับสภาวะการสร้างมิติในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร และไม่เหมือนหูฟังตัวไหนในท้องตลาด พอใส่หูครั้งแรกก็เลย งงๆหน่อย ว่า ทำไม sound มันโอบล้อมไปหมด แต่เสียงร้องดัน Focus เด่นชัดเลยลิ่วอยู่ตรงกลางๆ ก็เลยต้องใช้เวลาปรับความรู้สึกให้ชินกับสไตล์ของเสียงมันนิดหน่อย ซึ่งใช้เวลาซักพักนึกก็ปรับตัวได้ครับ จนหลังๆเริ่มติดแบบนี้แล้ว พอไปฟังหูฟังทั่วๆไป เริ่มรู้สึกว่ามิติมันชักไม่ได้ กลายเป็นหูฟังตัวอื่นๆให้มิติที่แบนและเรียงหน้ากระดานไปหมดเลย

ตัว HFI-580 ก็คือตัวที่ re-model มาจากรุ่น HFI-550 ซึ่ง 550 ปัจจุบันก็ไม่มีวางขายแล้วครับ เพราะกลายเป็น HFI-580 ไปหมดแล้ว เรียกว่าเป็น model ต้อนรับปี 2008 เลยทีเดียว เพราะเพิ่งเริ่มเปลี่ยนเอาปี 2008 นี่เองแหละครับ ซึ่งนอกเหนือจากการเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาภายนอกแล้ว ตัว HFI-580 เอง ก็มาพร้อมกับ Technology ใหม่อย่าง S-Logic Plus ที่ถูกคิดค้นเพื่อใช้กับ Flagship ของค่ายนี้อย่าง Ediotion 9 ในขณะที่ตัว model เดิมยังใช้เป็น S-Logic ธรรมดาอยู่เลยครับ ข้อแตกต่างระหว่าง S-Logic Plus กับ ธรรมดา ก็จะเป็นในส่วนของมิติที่กว้างขวางมากขึ้น และให้ dynamic ที่ดีขึ้นกว่าเดิมครับ ( ไม่ดีกว่าเดิมคงไม่เติม Plus หรอก ^O^ ) เท่าที่ผมลองดู รู้สึกว่า S-Logic Plus ให้มิติและความสมจริงที่เหนือกว่า S-Logic ธรรมดาครับ เรียกว่ามิติดีกว่ากันเยอะเลย แถม image ชิ้นดนตรีไม่แบนเล็กด้วย

ก่อนจะเริ่มถึงรูปแบบเสียง ก็คงต้องมาทำความเข้าใจถึงระบบ S-logic ก่อน ว่ามันคืออะไร เพราะถือเป็นจุดเด่นของหูฟังค่ายนี้เลยครับ







แล้ว S-Logic คืออะไร ???




โดย ทั่วไปแล้ว การออกแบบของหูฟังที่มีในท้องตลาดนั้น จะเป็นในลักษณะเหมือนๆกันหมด คือ จะมี Driver มาขนาบข้างหูของเรา เสียงที่ออกจาก driver ก็จะพุ่งตรงเข้าสู่รูหูทันที พูดง่ายๆคือ เสียงจากหูฟังทั่วๆไปจะอัดตรงๆเข้าสู่แก้วหูของเรา ซึ่ง ทาง Ultrasone มองว่า มันเป็นอันตรายต่อหูของเรา เพราะในธรรมชาตินั้น เสียงจะต้องการทบกับใบหูก่อนที่จะเข้าไปสู่แก้วหู ดังนั้นทาง Ultrasone จึง
Design ออกมาเป็น S-logic ที่จะทำให้เราได้รับรู้ถึงเสียงโอบล้อมแบบรอบทิศทางที่สมจริง โดยการออกแบบ Driver แบบ S-Logic จะมีการวางตำแหน่ง Driver ให้ทำมุมตกกระทบกับใบหูของเราในแบบเดียวกับที่เราได้ยินเสียงในชีวิตจริง ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยลด sound pressure ลงได้ในระดับนึง และทำให้เกิดมิติที่สมจริงแถมยังจับระยะทางของเสียงได้ง่าย เพราะตามปรกติแล้ว การที่เสียงสะท้อนกับใบหูก่อนเข้าสู่แก้วหู จะช่วยให้เรากะระยะทิศทางและตำแหน่งของเสียงได้ดีกว่าการที่เสียงเดินทาง เข้าสู่แก้วหูตรงๆ ดังนั้น sound ที่โอบล้อมที่ได้ยินจากระบบ S-logic จะเป็นทิศทางของเสียงที่เกิดจากการ mix โดยตรงจากทาง Studio จริงๆ ไม่ใช่เป็นระบบเสียงหลอกๆแบบ DSP แน่นอน ดังนั้น ไม่ว่าเสียงจะดังหรือเบา มิติของ sound ก็ยังคงเดิมแบบไม่มีผิดเพี้ยนไปเลยครับ


นอกจากระบบ S-Logic แล้ว Ultrasone ยังมีจุดเด่นอีกอย่างนึงนั่นก็คือ



++ EMF Shielding ++


EMF Shielding หรือ ตัวป้องกันคลื่นแม่เหล็ก นั่นเอง ถ้าใครเคยใช้หูัฟังแล้วเกิดอาการล้าเมื่อฟังไปนานๆ นั่นแหละครับ อาการจากสิ่งที่เรียกว่า Magnetic Field Emission ซึ่ง มีงานวิจัยบอกไว้ว่า ตัวคลื่นแม่เหล็ก จะมีผลกระทบต่อสุขภาพเราอย่างแรง อาการที่เห็นๆจะๆเลย คือ ล้า... และคลื่นแม่เหล็กก็มาจาก Driver นี่แหละครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน ดังนั้นทาง Ultrasone จึงเริ่มทำการวิจัย แล้วก็พบว่า มีหูฟังมากมายที่ก่อให้เิกิดผลกระทบดังกล่าว จริงๆรายละเอียดยาวกว่านี้ แต่พิมพ์ไปเดี๋ยวจะอ่านไปหลับไปเปล่าๆ เอาเป็นว่า ทาง Ultrasone ได้ออกแบบหูฟังให้กันคลื่นพวกนี้แหละครับ ทำให้เราสามารถใช้หูฟังได้นานมากขึ้น โดยไม่ล้า และไม่มีผลต่อสุขภาพร่างกายเหมือนหูฟังทั่วๆไป

ระบบ EMFShielding จะถูกแบ่งออกเป็น LE และ ULE ซึ่ง รุ่นที่ระบุไว้ว่า เป็น LE จะสามารถลดคลื่นแม่เหล็กได้ 50% แต่ถ้าเป็นรุ่นพวก ULE หรือ Proline จะสามารถลดได้ถึง 98% เลยทีเดียว



ซึ่งตัว HFI-580 นี่แหละครับ ที่เป็นรุ่น ULE



ทั้งๆ ที่ปรกติระบบอย่าง ULE จะไปอยู่กับรุ่นแพงๆ หรือพวก Proline แท้ๆ ขนาดตัว model เก่ารุ่น HFI-550 ยังเป็นแค่ LE ด้วยซ้ำ พอ re-model ปั๊บก็จับเอาของดีๆยัดใส่ลงไปหมดเลย ก็ถือว่าเป็นตัวที่น่าสนใจทีเดียวครับ





มาดูกันที่ส่วนภายนอกก่อน




งาน ของค่ายนี้ถือว่าคุณภาพการผลิตดีมากๆเลยครับ แม้ว่างานประกอบภายนอกจะทำในประเทศใต้หวัน แต่การคุม QC ผมว่าทำได้ดีกว่าหูฟังรุ่นดังๆบางยี่ห้อในท้องตลาดซะอีก แถม Driver ก็ยังคงผลิตอยู่ในเยอรมันเช่นเดิม ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องคุณภาพเสียงแน่นอน ปัจจุบันมีรุ่นเดียวเท่านั้นที่ยังผลิตในเยอรมันทั้งหมด นั่นก็คือ Edition 9 ที่เหลายๆคนสนใจนั่นแหละครับ

วัสดุภายนอกดูแข็งแรงมากครับ เนื้อพลาสติกก็เป็นแบบเกรดคุณภาพค่อนข้างดี เคาะๆเบาๆนี่รู้สึกได้เลยว่าเป็นพลาสติกที่หนาพอสมควรทีเดียว ตัว PAD ก็เป็นหนังเทียมแบบหนา ดูแล้วน่าจะทนกว่าของ A900 ที่เป็นแบบบาง ตรงข้อต่อหมุนที่เชื่อมระหว่าง Housing กับ Band ก็ดูแข็งแรงและเป็นแกนที่ขนาดใหญ่พอสมควร ตัวเลื่อนปรับระดับขึ้นลงเพื่อให้รับกับขนาดหัวก็ดูแล้วน่าจะทนทานนะครับ เพราะเลื่อนเข้าออกได้ smooth มากๆ จริงๆตรงส่วนนี้หลายๆยี่ห้อไม่ค่อยจะเน้นเท่าไหร่ครับ ผมเคยเจอแบบที่ออกแนวแข็งๆหน่อย ซึ่งพอใช้ไปนานๆก็ํดันลื่นแบบล๊อคไม่อยู่ ก็ไม่รู้ว่าถ้าใช้ไปนานๆของ 580 จะล๊อคไม่อยู่แบบคนอื่นหรือเปล่า แต่เท่าที่ลองเลื่อนเล่น ก็น่าจะทนไม้ทนมือได้นานแหละครับ

งาน Design นี่ผมว่า แล้วแค่คนชอบนะครับ แต่โดยส่วนตัวผมก็ชอบลักษณะแบบนี้ จะคล้ายๆกับ Sony 7509 บวกกับ Denon HP1000 น่ะครับ คือตรง Housing มันจะออกรีๆคล้ายๆ 7509 แต่มีฝาครอบ housing ที่เป็นอลูมีเนียมกลึงเหมือนๆกับของ HP1000 ดูโดยรวมก็ถือว่าดูดีครับ แถมยังพกพาง่ายด้วยครับ เพราะมันพับได้เหมือนกับพวกหูฟัง DJ และ Monitor บางรุ่นเลย พับแล้วใส่ถุงพาพาไปใช้ข้างนอกสบายๆ เวลาใช้เบื่อๆก็เอามาห้อยคอแล้วบิดโชว์ด้าน Logo ออกให้คนอื่นดูแบบของ HP1000 ได้ด้วยครับ

ในเรื่องของการสวมใส่ก็ถือว่าทำได้ดีครับ คือกระชับ แต่ไม่รัดบีบหัว ไม่เหมือน HD280pro ที่พอใส่แล้วรู้สึกหนีบหัวทันที ทำให้ใส่แล้วฟังนานๆได้สบายๆ อันที่จริงเท่าที่ผมดูทุกๆรุ่น งาน Design จะเหมือนๆกันหมดเลยครับ จะต่างก็แค่วัสดุที่ใช้ทำ PAD ขนาด Driver และ สีสัน เท่านั้นเอง จริงๆก็น่าจะถือว่าเป็น design เอกลัษณ์ประจำค่ายนี้เลยทีเดียว



มาว่ากันเรื่องของเสียง


อย่างที่ได้เกริ่นบอกกันเมื่อตอนต้นๆไว้แล้วว่า ใ้ช้ครั้งแรกๆจะงงนิดหน่อย เพราะค่อนข้างผิดจากสามัญสำนึกดั้งเดิมที่เราเคยชินกับหูฟังทั่วๆไป เท่าที่ผมลองให้หลายๆคนฟัง ส่วนใหญ่มักจะบ่นว่า เหมือนมิติมันหลอกๆหู แต่จริงๆแล้ว มันคือมิติจริงๆที่เกิดจากการ Mix เสียงเลยครับ เพราะหูฟังทั่วๆไปจะสร้างมิติให้มีความลึกด้วยการสร้างขนาด image ให้เล็กใหญ่ๆไม่เท่ากันบ้าง ทำให้พวกชิ้นดนตรีที่อยู่ไกลๆบางกว่าที่อยู่ใกล้ๆบ้าง และแยกชิ้นดนตรีให้ห่างๆกัน เพื่อให้เกิดความโปร่งโล่งและมีมิติมากขึ้นเพื่อให้รู้สึกถึงความเป็นมิติ ใกล้เคียงจากต้นฉบับ ซึ่งตรงจุดนี้อาจจะมีแอมป์ดีๆที่ให้มิติเจ๋งๆ มาช่วยประกบเพื่อสร้างมิติให้ดียิ่งขึ้น ในขณะที่ฟังกับ Ultrasone ไม่ว่าจะต่อกับแอมป์อะไร ก็มิติดีไปหมด ต่อตรงก็ยังให้มิติที่ดีเลย

ครั้งแรกที่ผมลอง พอเอา 580 ใส่หูปั๊บ รู้สึกว่าบรรยากาศมันอับลงไปเล็กน้อย แต่ว่ามันไม่ค่อยจะกันเสียงจากภายนอกเลยครับ เหมือนกับพวก A900 หรือ A950 เลย ที่ไม่กันเสียงภายนอกเท่าไหร่ ใส่แล้วยังได้ยินอยู่เลย แต่ก็ดีอย่างที่อย่างน้อยเสียงจากภายนอกก็ Drop ลงไป Step นึง จริงๆถ้าจะให้ดี ควรฟังในที่เงียบๆครับ จะดีกว่า เพราะตอนผมฟังที่เงียบๆ พอเวลาเปิดเพลงขึ้นมาปั๊บ จากที่เคยรู้สึกอับๆทึมๆ กลายเป็นโล่งโปร่งคล้ายกับหูฟังแบบ Open เลยครับ ผมว่าโล่งกว่า A900 และ A950 ด้วยซ้ำ เพราะพวกนั้นยังมีความรู้สึกอับๆเล็กๆ แต่ตัว 580 ไม่รู้สึกเลย คล้ายๆกับว่ามี Ambient ล้อมรอบตัวเรา ยิ่งเวลาชิ้นดนตรีขึ้นมา รู้สึกได้เลยว่า มันโอบล้อมเราไว้ทั้งหมด แต่จะหนักไปทางด้านหลังหัวเราหน่อย ซึ่งก็เป็นการให้มิติด้านหลังที่ลึกที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้หูฟังมาเลยทีเดียว

แนวๆเสียงจะคล้ายๆพวกหูฟัง Monitor ทั่วๆไป คือ คม ชัด และสดใส แต่ก็ไม่ได้จัดจ้านมากเกินไปจนแสบหู มิติและ image ไม่ได้แบนเป็นระนาบเหมือนหูฟัง Monitor ตัวอื่นๆ ถ้าจะเทียบก็คงเป็นไปในลักษณะแบบ A900 ที่เป็นเสียงแนว Monitor ที่ให้มิติแบบไม่แบน เสียงร้องมีความเป็นตัวเป็นตน แต่ sound image ที่ล้อมรอบก็ยังออกแบนๆหน่อยๆอยู่ดี ในขณะที่ของ 580 ไม่มีอาการแบนๆเลย เพราะ image ทุกชิ้นมีรูปร่างที่ชัดเจน แถมมีระยะใกล้ไกลที่รู้สึกได้ จะมีแปลกๆนิดนึง คือ บางเพลงผมก็ไม่รู้เ้้ค้า Mix ยังไง เพราะเสียงร้องจะมีขนาด image ที่เล็ก แต่ชิ้นดนตรีกลับใหญ่ ทำให้เหมือนคนร้องกำลังโดนเครื่องดนตรีรุม ดีตรงที่การแยกชิ้นดนตรีนี่ตัว 580 ทำได้ดีมาก เสียงแทบไม่ทับกันเลย image เสียงร้องเลยจะลอยโดดเด่นชัดเจนแบบไม่โดนกลบ จริงๆ Ultrasone ทุกรุ่นก็แยกชิ้นดนตรีได้ดีเกือบทั้งหมด โดยเฉพาะรุ่นสูงๆ การแยกชิ้นดนตรีจะดีมากๆ ผมลอง test กับเพลง Close To You ของ Susan Wong วัดกันเฉพาะเสียงเปียโน ถ้าเป็นตัวสูงๆอย่าง Pro 750 หรือ Dj1 Pro นี่ image ของเปียโนจะชัดมากครับ สัมผัสได้ถึงน้ำหนักการกดลงบนคีย์ในแต่ละโน้ตเลยทีเดียวครับ ช่วงปลายเสียงสั่นๆของสายเปียโนยังรู้สึกได้เลยครับ แต่ตัว 580 นี่ ยังไม่ได้ระดับนั้น เพราะน้ำหนักกดยังไม่ชัดเจนเท่า และช่วงปลายก็ยังคุมได้ไม่ดีเท่า แต่ก็ถือว่าทำได้ดีมากๆพอตัวอยู่แล้วครับ กับ AD2000 ผมยังได้ยินแบบคลุมเครือกว่า 580 เลย

เสียงสูงของ 580 จะไม่ได้พริ้วหวานพริ้วไหว แต่จะเน้นที่เสียงชัดๆ ออกแนวนิ่งๆ คมๆ ดังนั้นเสียงจะไม่ออกแนวก้องๆกังวานหวานๆ แต่จะให้เสียงที่กระชับฉับไว แม้จะมีช่วงปลายที่ทอดตัวบ้าง ไม่ได้เก็บตัวไว แต่ก็ไม่ได้ขึ้นไปจนสุด จริงๆผมก็ว่ามันก็เป็นข้อดีนะ เพราะเสียงมันใสแบบนี้ ถ้าเกิดยังไปจนสุดปลาย มันจะน่ารำคาญมากเวลามีเสียงชิ้นดนตรีที่ให้เสียงสูงๆกังวานอย่าง Trangle มารวมตัวกันเยอะๆ ข้อดีของหูฟังยี่ห้อนี้ จริงๆต้องบอกว่าจุดเด่นเลยคือ เสียงกลองน่ะครับ ถ้าพูดกันเฉพาะในส่วนเสียงสูง ก็ต้องว่ากันไปในส่วนของ Crumble ซึ่งให้รายละเอียดได้ค่อนข้างดี เสียงชัดเจน และมีน้ำหนัก ขนาด image ก็ใหญ่สัมผัสได้ง่าย ไม่เหมือน A900 ที่ขนาด image เล็กนิดเดียว เวลาเคาะแฉเลยรู้สึกว่ามันไม่เต็มอิ่ม ตัวไฮแฮทก็แยกแยะออกมาได้ชัดเจน ยิ่งถ้าเจอเพลงอัดดีๆ สามารถแยกได้ด้วยว่าเป็นเสียงเคาะไฮแฮทหรือว่าเสียงเหยียบกระเดื่องไฮแฮท ข้อดีอีกอย่างคือ เสียงสูง ไม่ได้เ็ป็นเสียงสูงแบบจัดจ้านขอบเสียงคมๆ ( เห็นมีคนบอกว่าก่อน burn เสียงจะจัดมาก ) เพราะโทนจะออกไปทางเย็นๆหน่อยแบบ Audio-Technica มากกว่า แต่ก็ยังไม่เย็นหวานเท่าทางนั้น ทำให้ฟังเพลงแล้วสนุกกว่า
ที่ผมชอบก็คือ ไลน์กีต้าร์ที่ให้ impact ได้ดีมาก การถ่ายทอดน้ำหนักเวลาไล่สายก็ทำได้ดี สัมผัสได้ถึงการลงสาย หรือการเกา ไลน์กีต้าร์คล้ายๆของทาง Ms-2 ด้วยครับ เสียดายที่ไม่มี Ms-2 แล้ว ไม่งั้นจะเทียบกันอีกซักที การแยกเสียงของกีต้าร์ก็ทำได้ดีทีเดียวครับ แยกเดี่ยวออกไปเป็นตัวตนชัดเจน บางเพลงจะรู้สึกถึงตำแหน่งการยืนของคนเล่นกีต้าร์เลยครับ

เสียงกลางให้รายละเอียดได้ดีทีเดียว จุดเด่นก็คืิอเสียงกลองอย่างที่บอกไว้แล้ว จริงๆหูฟังตัวนี้ก็ถูกแบบมาเพื่อมือกลองเป็นหลักด้วยซ้ำครับ ดังนั้นการแยกแยะรายละเอียดของกลองนี่หายห่วงเลยครับ ฟังแล้วรู้เลยว่า อันไหนกำลังเคาะลงบนสแนร์ อันไหนกำลังตีลงบนทอม แม้แต่ความแตกต่างของเสียงทอมแต่ละลูกยังรู้สึกได้เลยครับ แต่ด้วยความที่มวลไม่ได้เยอะ ทำให้กลองจะได้ในเรื่องของ impact และรายละเอียดมากกว่า ดังนั้นเวลากลองลงแต่ละครั้งจะไม่ตูมตามแบบหูฟังบางตัว
ในส่วนของเสียงร้องจะค่อนข้างขึ้นอยู่กับเพลงครับ บางเพลงก็ Focus เด่นลอยเป็นสง่า แต่ image เล็ก ไม่ค่อย Balance กับชิ้นดนตรีโดยรอบ คล้ายๆกับนักร้องตัวเล็กๆหน่อย แต่มือกลองกับมือกีต้าร์ีนี่อย่างกะยักษ์ ( อันที่จริงก็ไม่ได้ใหญ่มากหรอกครับ พิมพ์ให้มันดูเว่อร์หน่อย จะได้เห็นภาพพจน์ชัดเจน ^_^ ) ส่วนบางเพลงก็ให้เสียงร้องขนาด match กับ image ชิ้นดนตรีครับ ที่สำคัญ เสียงร้องจะขึ้นอยู่กับการอัดจากต้นฉบับด้วยครับ เพราะนักร้องบางคนเสียงสูงแท้ๆ แต่ไม่จัด ในขณะที่บางคนเสียงออกกลางๆ ดันเสียงจัด ซึ่งก็อยู่ที่ขั้นตอน produce งานดนตรีนั้นๆครับ โดยรวมถือว่าเก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียวครับ สไตล์เสียงร้องเหมือน A950ltd เลย เพียงแต่ไม่ได้หวานเท่า และจะออกจัดและสดกว่านิดๆ ถ้าจำไม่ผิด ผมว่า image เสียงร้องของ HFI-580 จะใหญ่กว่าด้วยครับ

ส่วนของเบสนี่ หูฟังตัวนี้จะค่อนข้างแปลกนิดนึงครับ ไม่มั่นจะว่า เป็นเพราะระบบของ S-Logic หรือเปล่า ทำให้บางเพลง impact เบสมันถอยไปอยู่ไกลๆ คือรับรู้ได้นะครับ เพียงแต่มันไม่หนักแน่นเหมือนกับอีกเพลงนึง โดยเฉพาะเพราะเพลงที่เป็นเบสสังเคราะห์ จะชัดและ impact เด่นมาก แต่ถ้าเพลงไหนที่อัด Drum Bass มาดีๆ ก็ได้ยินชัดเจนเหมือนกัน เพียงแต่น้ำหนักก็จะสู้่พวกเบสสังเคราะห์ไม่ได้ ถ้าจะอยากน้ำหนักเบสมีมวลมากขึ้น ก็ต้องใช้แอมป์ที่ให้เบสดีๆ ถ้าได้แอมป์ให้เบสดีๆ เบสจะมีมวลและน้ำหนักมากขึ้นครับ ก็แลกกับความคมชัดของไลน์เบส ที่จะออกเบลอขึ้นหน่อยๆ เพราะขอบเสียงของไลน์เบสจะหนาแบบรู้สึกได้เลยครับ จังหวะที่โซโลเบสจนรู้สึกนวลๆหน่อย เพราะหัวโน้ต ช่วงกลางและปลายๆ มันเขยิบขึ้นมาใกล้ๆกันมากขึ้น ส่วน impact ของ Drum ไม่มีปัญหาใดๆครับ แค่รูปร่างมันจะออกแผ่ขึ้นเท่านั้นเอง
เบสของ HFI-580 จะมีการแยกแยกออกอย่างชัดเจน เช่น Drum Bass ก็ ตุบๆๆๆ ส่วนกีต้าร์เบสก็ ดื่ม ดึม ดึม.. ตำแหน่งของ image คู่นี้ถ้าผ่านการอัดมาดีๆ ก็จะแยกส่วนสัดกัน ไม่มาปนๆกันเหมือนหูฟังหลายๆตัวครับ เพียงแต่ความแน่นของเนื้่อเบสมันน้อยไปนิด และ Dynamic-Range ของช่วงเบสโดยเฉพาะช่วงกลางไปปลายมันยังไล่ได้ไม่ดีนัก แต่ก็ถือว่าโอเคมากๆแล้วครับ เบสส่วนใหญ่จะเป็น impact และ middle มากกว่า ส่วน deep ไม่ได้มีเยอะเท่าไหร่

และด้วยข้อดีของมิติที่ไม่เหมือนใคร ทำให้สามารถเอา HFi-580 มาดูหนังได้สบายๆครับ เท่าที่ผมลอง test กับ DVD Concert ธรรมดาๆโดยไม่ได้เปิด mode Dolby Headphone ก็รู้สึกว่า มันให้มิติได้ดีระดับนึงแล้วครับ อารมณ์คล้ายๆกับเปิด SRS Wow เลย เพียงแ่ต่มันไม่มี sound ก้องๆหลอนๆ เหมือน SRS เท่านั้นเอง เวลาดูคล้ายๆเราอยู่ในงาน Concert นั้นเหมือนกันครับ ได้เรื่องบรรยากาศ แต่มิติมันก็ หูฟังน่ะครับ ไม่ได้อลังการงานสร้างเหมือนลำโพงอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้ได้อารมณ์การดูหนังที่ดีที่สุด ก็ต้องใช้ mode Dolby Headphone ที่มีอยู่ใน program อย่าง WinDVD และ Power DVD ครับ

การ test ดูหนังผมใช้เรื่อง Jurassic Park เพราะมันอยู่ใกล้มือ จริงๆผมมีแผ่น test DTS แต่ไม่รู้หายไปไหน

เสียงจาก Mode Dolby Headphone มันจะออกหลอกๆหูนิดๆในตอนแรกที่ฟัง เพราะมันเป็นการจำลองระบบ surround เทียมขึ้นมา ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากพวก DTS decoder ที่ต่อจากภายนอกมากมายนัก ( วัดจากของ ที่แถมมากับ Creative HQ2300D ) ผมยังไม่เคยเทียบกับของตัวอื่นนะ ก็เลยต้องยึดเอา creative เป็นตัวอ้างอิง แต่ผมเคยลองตัวจำลองเสียงของ Creative X-Fi ที่ใช้หูฟังอะไรก็ได้นี่ จำได้ว่าตัวนั้นดีมากๆเลยครับ เสียดายไม่มี X-Fi ไว้ทดสอบ ก็เอาเท่าที่ทำได้แล้วกันครับ อย่างน้อยอันนี้ก็ความสมารถหู ไม่ใช่ความสามารถเครื่อง

ถ้าจะคาดหวังเฮลิคอปเตอร์บินจากข้างหน้าแล้วพุ่งไปข้างหลังไกลๆ ริบๆ แล้ววนออกข้าง ลอยนิ่งบนหัว ก่อนจะค่อยๆลงจอดช้าๆ ที่ด้านขวาของเรา นี่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วครับ แต่เท่าที่ผมลอง เสียงไดโนเสาร์ที่ร้องก็ให้อารมณ์เหมือนเราอยู่ในบรรยากาศนั้นๆเลยแหละครับ จะออกแนวเหมือนเรากำลังนั่งดูหนังในห้องเล็กๆห้องนึง บางจังหวะก็ได้ยินเสียงไดโนเสาร์วิ่งจากด้านหลังมากด้านข้างเหมือนกันครับ ซึ่งเท่าที่ผมเคยลองหูฟังหลายๆตัว ก็ยังทำแบบนี้ไม่ได้ เสียงพูดเสียงคุยก็ Focus อยู่ตรงด้านหน้าได้ดีมาก อารมณ์ก็ประมาณว่ากำลังฟังเสียงจากลำโพงด้านหน้าเราเลยครับ แต่มันจะหลอกๆนิดๆเท่านั้นเอง เวลา Raptor วิ่งมาจากด้านข้างก็รู้สึกถึงตำแหน่งของตัวมันได้สมจริงเลยครับ พูดง่ายๆคือ ด้านข้างด้านหลังดีหมด แต่ด้านเสียงพุ่งจากหน้าไปหลัง ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี ผมว่า เต็มที่ได้เท่านี้ด้วย software และหูฟังก็ถือว่าทำได้ดีมากๆแล้ว

ที่สำคัญ ควรจะดูหนังที่เป็นระบบเสียงแบบ DTS นะครับ จะสมจริงที่สุด เพราะจะให้การแยกแยะเสียงต่างๆ และ การ focus ของเสียงที่ดีกว่าครับ

สรุปโดยรวมถือเป็นหูฟังที่น่าใช้ตัวนึง แนวเสียงจะออกไปทางสไตล์ monitor หน่อยๆ แต่มิติดีกว่าหูฟัง monitor ทั่วไป เสียงจะออก color นิดๆ และให้เสียงได้ครบทุกย่าน เด่นในเรื่องรายละเอียดของเสียงกลอง ไลน์กีต้าร์ และมิติโดยรวม แถมยังเอามาดูหนังได้ด้วย แต่ถ้าจะให้ดีควรจะมีแอมป์มาประกบ ถึงแม้ว่าลำพังต่อตรงมันก็ออก แต่ Dynamic มันก็สู้การต่อผ่านแอมป์ไม่ได้เลยครับ แอมป์ยิ่งดี เสียงก็ยิ่งดีครับ งานประกอบผมว่าดีทีเดียวครับ แอมป์ที่เหมาะๆหน่อย ก็มีพวก Headstage ตัว Pro , Graham Salee Voyager ตัว Kotch นี่ก็พอได้อยู่ แต่ถ้าอยากได้เสียงสดๆขึ้น ก็ต้อง Heed ครับ สด ไม่จัดจ้าน และได้มิติที่ดีขึ้น แต่ต้องแลกกับเบสที่จะไม่ได้เพิ่มขึ้นมาน่ะครับ ( อาจจะมีตัวอื่นที่เหมาะๆ แต่เผอิญผมได้ลองแค่ไม่กี่ตัวครับ )

ส่วนราคาอยู่ที่ 6,300 บาทครับ ถามผมว่าแพงไม๊ ส่วนตัวผมว่า จากคุณภาพเสียงและ build quality ก็ถือว่าโอเคเลยครับ อย่างน้อยๆก็ฟังดีกว่า A900 แหละครับ ในระดับราคาที่.... ขี่ๆกันเลย อีกอย่าง ประกันของ Ultrasone ก็เป็นแบบประกัน 2 ปีด้วยครับ ถึงแม้มันจะดูแล้วท่าทางไม่พังง่ายๆ แต่มีประกันอุ่นใจไว้ตั้ง 2 ปี ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวครับ



http://reviews.digitaltrends.com/images/reviews/full/5192/20080609_1753563.gif




SPEC


Product Type Headphones
Weight 10.1 oz
Additional Features Foldable, gold-plated plug, S-Logic Natural Surround Sound
Headphones
Headphones Type Headphones - binaural
Headphones Form Factor Ear-cup
Headphones Technology Dynamic
Connectivity Technology Wired
Sound Output Mode Stereo
Response Bandwidth 10 - 22000 Hz
Sensitivity 101 dB
Impedance 32 Ohm
Diaphragm Mylar - 2 in
Connections
Connector Type 1 x headphones ( mini-phone stereo 3.5 mm )
Miscellaneous
Cables Included 1 x headphones cable - integrated - 10 ft
Included Accessories Carrying case, 6.3 mm (1/4") stereo adapter



1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ไม่ทราบว่าหูฟังรุ่นนี้กับรุ่น dj1 นี้เป็นตัวเดียวกันรึเปล่าครับ

ถ้าต่างกันไม่ทราบว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร

ขอบคุณครับ

ASNF