วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Review หูฟังในตำนาน Sony MDR-E484

SONY MDR-E484





หูฟังตัวนี้ผมได้ยินชื่อเสียงของมันมานานมากแล้วครับ ตั้งแต่ก่อนที่จะได้ E888 มาใช้ซะอีก เพราะเค้าลือกันว่า ( เค้านี่คือคนใน head-fi และ อาจารย์ไมตรี ทรัพย์เอนกสันติ) มันคือ Earbud ที่ดีที่สุดเท่าที่คนเหล่านั้นฟังๆกันมา ผมก็เลยอยากลองเอามากๆ แต่ปัญหามันติดอยู่ตรงที่ มันเลิกผลิตตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ทำให้ลำบากในการหามาลองมากๆ ส่วนใหญ่คนที่มีกัน ถ้าไม่สายเน่าก็ driver กลับบ้านเก่า เล่นเอาผมท้อจนคิดว่าไม่มีโอกาสจะได้ฟังแล้ว

ทว่า... ฟ้าก็เป็นใจ หูฟังตัวนี้ก็ได้หล่นมาสู่มือผมจนได้ ต้องขอบคุณคุณ seeker ที่อุตส่าห์ไปรื้อๆโต๊ะเล่นๆแล้วบังเอิญเจอมันนอนแอ้งแม้งอยู่ ไม่งั้น review อันนี้คงไม่เกิด :D


แต่ตัวที่ได้มา ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เท่าไหร่ครับ เพราะมีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นกันบ้างเล็กน้อย เพราะต้องเอาเทปพันสายฟันมาพันตรงส่วนที่มันเปื่อย -_-'a ยังดีที่หูฟังใช้การได้เป็นปรกติ แค่มันใช้ได้ผมก็ดีใจจะแย่แล้วครับ



เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า


ถ้าใครเคยอ่านใน head-fi มาก่อนก็น่าจะได้ยินชื่อ E484 กันแล้ว คนที่เล่นหูฟังมานานก็น่าจะมีไว้ในครอบครองด้วยซ้ำ เพราะถือเป็นหูฟัง earbud ที่เสียงดีที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียว แต่ราคานี่ สมัยนั้นต้องถือว่า ค่อนข้างแพงเลยทีเดียว แถมยุคนั้นพวก IEM ก็ยังไม่ได้มามีบทบาทอะไรมากมายเหมือนสมัยนี้ ลำพัง earbud อย่าง E484 นี่ ก็ถือว่าแพงสุดๆแล้ว ( แต่ผมจำราคาไม่ได้... ) ตอนนั้นผมยังไม่คิดจะซื้อเลย เห็นอยู่ แต่ไม่คิดอยากจะลงทุนไปกับหูฟังแพงๆเท่าไหร่ ได้แต่มองเมินๆ แล้วมาเสียดายตอนนี้ แต่เชื่อว่า ถ้าผมได้มาตอนนั้น ก็คงไม่แคล้วสายเปื่อยเหมือนหลายๆคน lol

เรื่องเสียงนี่ แรกๆผมก็ไม่ได้คาดหวังกับ 484 เท่าไหร่ เพราะยังไงมันก็ Earbud อีกอย่างผมเชื่อว่า E888 น่าจะเป็นตัวปรับปรุงจาก E484 มาแล้ว ดังนั้น Signature ก็น่าจะไม่หนีกัีนเท่าไหร่


แต่ปรากฏว่าผิดคาดครับ


E888 สู้ไม่ได้เลย :D งงๆอยู่ว่า sony พัฒนายังไงให้หูฟังมันแย่ลง อาจจะเป็นเพราะ Trend ช่วงที่ E888 ออกมาเพื่อแทน E484 นั้น เน้นไปในเรื่องของมิติเสียงกลาง และการ Focus Image ทุกย่านเสียง ทำให้แนวเสียงของ E888 เลยเน้นไปในเรื่องการ Focus และความคมชัดของเสียงร้องมากกว่าจะเน้นในเรื่องของมวลแบบ E484 ซึ่ง เอาจริงๆผมก็ยังมองว่า แนวเสียงของ E888 ไม่สามารถต่อกรกับ E484 ได้เลย เรียกว่า คนละรุ่นไปเลยก็ว่าได้







แล้วเสียงมันเป็นแบบไหน ??



ถ้าพูดกันเรื่องมิติก่อน ผมถือว่า เป็นหูฟังที่ผมเพิ่งจะเคยได้ยินมิติเสียงแบบนี้ครับ การสร้าง image เสียงร้องจะโดนโยนไปอยู่ด้านหลังหัวทั้งหมด คล้ายๆกับพวก Audio-Technica A series อย่าง A900 , A950ltd อะไรทำนองนั้น แต่ว่า image ใหญ่กว่ากันเยอะครับ คือ image มีขนาดแบบเต็มๆไม่มีกั๊ก แต่ฟังแล้วไม่อึดอัด เพราะ soundstage กว้างถึงกว้างมากๆ และเป็นหูฟังที่ผมฟังแล้วไม่ค่อยเครียดเรื่องจับตำแหน่งชิ้นดนตรีครับ เพราะปรกติ หูฟังที่ให้มิติไปด้านหลัง มักจะจับชิ้นดนตรีแบบสัมผัสได้ยาก เนื่องจากส่วนใหญ่จะค่อนข้างติดกับด้านหลังหัวเรามากกว่า แต่ E484 ให้มิติที่ไกลออกไปอีกครับ อารมณ์ประมาณว่ามีลำโพงอยู่ด้านหลังหัวเราตลอดเวลาเลยน่ะครับ และชิ้นดนตรีทุกชิ้นก็ไม่ได้แบนเป็นหน้ากระดาน แต่มีความเป็น 3 มิติค่อนข้างสูง ทำให้การวาง image อยู่ในระนาบที่ค่อนข้างสมจริง ไม่ได้ลอยตัวอยู่กลางอากาศเหมือนหูฟังบางตัว ( แต่บางชิ้นดนตรีก็มีลอยๆบ้าง ) เสียตรงมิติเสียงกลางไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ ถ้านึกภาพมิติตัวนี้ไม่ออก เลยนึกถึง Super.fi 5 pro + A900 ครับ จะได้สไตล์มิติที่ใกล้เคียงกับ E484 เลยทีเดียว ( แต่ไม่เหมือนนะครับ :D ) เพราะลักษณะของ soundstage เป็นรูปแบบลูกรักบี้แนวนอนที่ป่องไปด้านหลังน่ะครับ โดยรวมผมว่า ให้ทั้ง image ชิ้นดนตรีและ มิติมีขนาดที่ใหญ่เกินตัวทีเดียวครับ เริ่มจะออกไปทาง Fullsize แล้วสำหรับตัวนี้


เสียงกลางมีมวลที่หนา และด้วยขนาด image ที่ใหญ่ทำให้สัมผัสชิ้นดนตรีได้เต็มอิ่มมาก จุดเด่นอยู่ที่เสียงกลองครับ กลองตีได้กระแทกกระทั้นและรุนแรงมาก เสียงกลองลงได้หนักและมีรายละเอียดที่ดี การไล่น้ำหนักของกลองทอมแต่ละลูกก็มีความแตกต่างกันจนรู้สึกถึงความมีตัวตนของทอมแต่ละลูกได้ แม้แต่สแนร์ก็กระแทกลงได้ชัด มีปลายเสียงแส้สแนร์จางๆออกมาเบาๆ แถมยังคุมอารมณ์ของเสียงหนังสแนร์ได้ชัดเจน ไม่เหมือนหูฟังที่ให้ impact กลองดีๆบางตัวที่ฟังไม่ออกเลยว่ามันเป็นกลองอะไร

น่าแปลกคือเสียงกลางจะมีความขุ่นเล็กน้อย พูดง่ายๆืคือตั้งแต่ย่านเสียงต่ำขึ้นมากลางจะมีความขุ่นเจืออยู่บ้าง ตัวก่อนๆที่ผมเคยลองของคุณ seeker จะขุ่นมาก ขุ่นไปหมด แต่ตัวที่ผมได้มาเองซึ่งอยู่ในสภาพที่เรียกว่าใหม่พอสมควร กลับไม่ได้ขุ่นขนาดนั้น มีเพียงความขุ่นหลงเหลือเพียงน้อยนิด เรียกว่าน้อยกว่า UM2 ด้วยซ้ำครับ ถ้าไม่มีความขุ่นเลยก็จะดีมาก

ช่วง Vocal นี่ผมเคยได้ยินหลายๆคนบอกว่าหวาน แต่ผมฟังเองรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้หวานอะไรมากมายครับ ออกแนวหนาๆ อิ่มๆซะมากกว่า ถ้าจะหวานก็น่าจะหวานกว่า E888 เล็กน้่อยน่ะครับ สไตล์คล้ายๆ UM2 นั่นแหละครับ แต่ผมว่ามันขุ่นน้อยกว่า UM2 นะ โดยรวมผมถือว่าดีทีเดียวครับ ถึงแม้น้ำเสียงจะดูไม่ค่อยเปิดเหมือน E888 แต่ให้ความรู้สึกของ image นักร้องที่ดีครับ มีความเป็นมิติมากๆ ไม่ได้แบนเป็นกระดานเหมือน earbud บางตัว ออกแนวนุ่มนวล อิ่ม และชัดเจนครับ แถมยังใหญ่สะใจด้วย เพลงที่อัดดีๆจะให้ความรู้่สึกเหมือนนักร้องกำลังยืนด้านหลังเราแล้วร้อง เพลงให้ฟังน่ะครับ อย่างกับพกนักร้องไปฟังส่วนตัวตลอดเวลา

การแยกแยะเสียง vocal ที่ซ้อนๆกันก็ทำได้ดีระดับนึงครับ คือไม่ได้ปนกันมั่วแน่นอน แต่การแยกของ 484 เป็นการแยกแบบเป็นมิติออกไป อย่างเสียงหลักก็จะเข้ามาใกล้เราหน่อย ส่วนเสียงรองก็ถอยออกไป step นึง ประมาณนี้น่ะครับ บางเพลงก็จะแยกออกไปในส่วนของมิติเสียงกลาง หรือตรง Headstage น่ะครับ ถ้าเป็นพวก Shure อย่าง E4C จะแยกแบบขึ้นไปส่วน headstage หมด เรียกว่าขาดกันไปเลย ตรงนี้ก็แล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหนนะครับ ส่วนผมชอบหมดเลย

เสียงสูงเรียกว่าชัดเจนดีครับ มีความพริ้่วในระดับที่ดีมาก แถมช่วงปลายก็ไปได้่สุดเลยทีเดียว ตรงนี้จะดีกว่า UM2 ตรงที่เสียงสูงไม่ขุ่นครับ แถมยังชัดใสในระดับที่ดีเอามากๆ ยิ่งถ้าไม่ใส่ฟองน้ำนี่ พวกสายเครื่องสายจะยิ่งได้ยินไลน์แบบชัดเจนและสดขึ้นมากทีเดียว เพียงแต่หูฟังตัวนี้จำเป็นต้องใส่ฟองน้ำ ไม่งั้นมิติจะเสียครับ ทำให้พวกเครื่องสาย drop ลงเล็กน้อย เสียงไวโอลีนจะค่อนข้างโดนก่้อนใครเพื่อนครับ เพราะปรกติช่วงจังหวะที่ลากคันชักนี่ ถ้าเกิดไม่ใส่ฟองน้ำ เวลาลากขึ้นจะได้ยินการถ่ายน้ำหนักช่วงต้นไปยังปลายได้ดีครับ แต่พอใส่ฟองน้ำแล้ว ช่วงปลายๆมันเหมือนจะหายไปหน่อยน่ะครับ แถมความสดของเสียงก็ลดลงด้วย ถ้าฟังเพลง Classic ผมแนะนำให้ถอดออกเลยครับ จะช่วยให้เพราะขึ้นมาอีกนิดนึงครับ

แต่เสียงแซ็คนี่ ขึ้นได้หวานใช้ได้ครับ ถ้าเอามาฟังแจ๊สแล้วอยากได้เสียงแซ็คหวานๆนี่ ตัวนี้ให้ได้เลยครับ แถมให้รายละเอียดเวลาที่แส้ของกลองแจ๊สเคาะลงบนแฉกับไฮแฮทได้ดีมากๆครับ จริงๆไม่ต้องกลองแจ๊สก็ได้ กลองธรรมดาก็ำทำได้ดีเหมือนกันครับสำหรับตรง เพราะได้ยินรายละเอียดชัดเจนว่าเคาะตรงจุดกลาง หรือปลายๆแฉ รวมทั้งรายละเอียดของไฮแฮทก็ชัดเจนมากๆครับ


เรื่องเบสส่วนสำคัญระดับประเทศ คือถ้าเอาตัวนี้เทียบกับ E888 ผมว่า เบสตัว E484 ดีกว่าครับ impact อาจจะไม่แรงเท่าไหร่ ( แรงกว่า E888 ) แต่ว่า มวลเบส และMiddle เบสตัว 484 นี่ทำได้ดีมากๆครับ มีความหนาและมี Melody เบสทีดีพอตัวทีเดียว ช่วงที่เดินโน้ตเบสตีคู่ไปกับกระเดื่องนี่ ผมได้ยินค่อนข้างชัดเจนทีเดียว แบบรู้ได้เลยว่ากำลังเดินเบสเกาะกับกระเดื่องไป ซึ่งปรกติผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่กับ E888 สำหรับจุดนี้ ( กับหูฟังหลายๆตัวด้วยครับ ) deep เบสก็มีแต่ไม่ได้ลากมากจนอืดอาดบวมน่าเบื่อ อยู่ในระดับที่มีคุณภาพดีทีเดียว image เบสใหญ่ แต่ไม่เว่อร์ และ Balance กับ image ย่านอื่นๆ ทำให้ไม่เด่นน่าเกลียด แถม impact ก็กำลังดี ไม่ได้มากหรือน้อยไป deep ก็ไม่ลึกมากเกิน ออกแนวๆนุ่มเล็กน้่อยด้วยซ้ำครับ

โดยรวมถือว่าเป็นหูฟังที่ให้เสียงได้ดีตัวนึง มิติเสียงอยู่ในขั้นดีมาก เสียงก็อิ่มและหนา มวลเสียงดี เหมาะสำหรับฟังเพลง POP , Jazz , Classic และอื่นๆ ส่วน Rock ก็ฟังได้ไม่ขี้เหร่ครับ แต่ขา Dance นี่ผมไม่มั่นใจว่าจะชอบหรือเปล่า พอดีผมไม่ได้เอาเพลงแนว dance ลงในเครื่องแล้ว test น่ะครับ เท่าที่ฟังๆดูก็ํน่าจะไปไหวครับ

ตัว E484 นี่ อาจารย์ไมตรีเองเคยบอกว่า มันให้น้ำเสียงใกล้เคียงกับลำโพงของมาร์คเลวินสัน แต่เผอิญผมไม่เคยฟัง เลยตอบไม่ได้ว่าเหมือนจริงหรือเปล่า :D ทว่าเรื่องมิติกับ image นี่ผมยอมรับเลยว่า ทำได้ดีจริงๆสำหรับ earbud ใส่ฟังเพลงแล้วไม่รู้สึกว่ากำลังใส่ earbud เลยครับ ถ้าจะมีเก็บไว้ครอบครองซักตัวนี่ แทบไม่ต้องคิดมากเลยครับ เจอก็ซื้อได้เลย :D ปัญหาคือมันไม่มีแล้วนี่สิ แย่เลย lol





SPEC
====


ขนาด Driver : 16mm Twin TURBO)
Impedance : 18Ω
Sound Pressure level : 108dB/mW
Maximum Input : 50mW
Frequency Response : 8~27,000Hz
น้ำ้ำหนัก : 6.0g(ไม่รวมสาย )
Connector : 1.3m LC-OFC CLASS1

1 ความคิดเห็น:

thaimovieposters กล่าวว่า...
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ