Shure E5C
สมัยก่อน หูฟัง E5C ถือเป็นหูฟังระดับ Top Class ที่เคียงคู่ักับสุดยอดหูฟัง IEM ในช่วงนั้นอย่าง Westone UM2 เลยทีเดียว เพราะถือเป็นหูฟังที่ใช้ 2 Driver ในยุคแรกๆ เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มี E500 หรือ SE530 ออกมาเขย่าตลาด ทำให้คนที่เล่นหูฟังระัดับสูงในช่วงนั้น ต่างก็อยากจะเป็นเจ้าของมันอย่างมากมาย
สิ่งแรกที่ E5C สร้างความประทับใจให้กับคนซื้อก็คือ CASE ที่เป็นอลูมิเนียมทั้งหมด !!
ถือเป็นการใช้ Packaging ที่สุดยอดมากๆ ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Westone UM2 กลับใช้ Packaging ที่เป็นกล่องพลาสติก ธรรมดา ธรรมดา เท่านั้น หูฟัง Shure E5C เลยดูมีมนต์ขลังมากกว่า Westone UM2 เลยทีเดียว จริงๆถ้าว่ากันตามตรง ราคาของ UM2 และ E5C ในตลาดโลกนั้น ถือว่าราคาใกล้เคียงกันมากเลยทีเดียว ทำให้มีการแลกเปลี่ยนกันฟังระหว่าง UM2 และ E5C กันมากมาย เพราะราคาพอๆกัน สามารถแลกเปลี่ยนกันได้โดยไม่ต้องคิดมาก แต่ ในเมืองไทยนั้น ตัว E5C ตั้งราคาไว้สูงกว่า Westone UM2 มาก ทำให้โอกาสแลกเปลี่ยนกันฟังน้อย ในช่วงนั้นคนได้ฟัง E5C จึงมีไม่กี่คน และส่วนใหญ่่ก็มักจะเป็นคนที่เงินถึง หรือไม่ก็สั่งซื้อจากต่างประเทศเข้ามา
แต่ปัจจุบัน E5C ถือเป็นหูฟังที่หลุด Generation ไปแล้ว เพราะมี SE530 เข้ามาเป็นตัวตายตัวแทนในตลาดระดับ TOP END และยังมีพวก SE Series ทั้งหลายอย่าง SE110 , SE210 , SE310 และ SE420 ที่เข้ามาแทนที่ E Series อย่าง E2C, E3C และ E4C ทำให้หูฟังอย่าง E Series ถูกทำให้ถอยร่นหายไป เรียกว่าเลิกผลิตไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งหูฟังตัวแรกที่ถูกประกาศว่า เลิกผลิต ก็คือ E5C ตัวนี้แหละครับ
ทว่า ด้วยกระแสตลาดที่ยังมีคนต้องการ E series อยู่ อีกทั้งตัว SE series เอง ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าที่คิด เพราะดัวยลักษณะแนวเสียงที่ฉีกออกไปจากบุคลิกเดิมๆของ SHURE ทำให้ทาง SHURE ตัดสินใจเดินเครื่องผลิต E series ออกมาอีกครั้ง แต่เปลี่ยนชื่อจากเดิมมาเป็น SLC แทน ซึ่งก็มีออกมาเป็น SLC2 , SLC3 , SLC4 และ SLC5 ทำให้ SHURE แยกกันทำตลาดของหูฟังออกเป็น 2 line SERIES โดยมี SE530 ที่อยู่เหนือของทั้งสอง line แทน แฟนๆที่ชื่นชอบบุคลิกเดิมๆของ SHURE จึงค่อนข้างดีใจที่ยังมีโอกาสได้สัมผัส Signature แบบเดิมๆ
มาดูที่ตัวหูฟังกันบ้าง
ตัวหูํฟัง E5C จะเป็นแบบ Transparent Clear คือ จะเป็นแบบใสโปร่งทั้งหมด ตั้งแต่สาย แจ๊ค ไปจนถึง Housing ของหูฟัง ตัวสายของหูฟังค่อนข้างหนาและดูแข็งแรง ด้านในสายจะเห็นได้ว่า มีฉนวนที่เป็นโลหะหุ้มอยู่ เพื่อกันคลื่นไฟฟ้ารบกวนจากภายนอก ทำให้โอกาสเกิด Noise ลดลง
Housing ของหูฟังก็ถูกออกแบบมาให้ใส่แนบรับกับหูให้มากที่สุด จะเห็นได้ว่าการใส่ของ E5C จะกลืนไปกับด้านในหู โดยที่มีส่วนเล็ดลอนยื่นออกมานอกหูน้อยที่สุด ตรงข้ามกับของ UE ที่ Housing จะยื่นออกมานอกหูเอามากๆ แต่นั่นก็เป็นเรื่องการ Design ของเสียง ไว้ตอน review ของ UE ผมจะอธิบายเหตุผลที่ทำไมต้องให้ Housing ยื่นออกมาเกะกะขนาดนั้นนะครับ
ภาค Crossover ของ E5C จะถูกนำมาไว้ตรงช่วงข้อต่อตัว Y ของสาย ซึ่งก็มีขนาดใหญ่จนเห็นได้ชัดเจน หลายๆคนจะรู้สึกว่ามันค่อนข้างเกะกะหน่อย เพราะมันดูใหญ่ ในขณะที่ของ Westone UM2 หรือ SE530 มีขนาดที่เล็กกว่านี้มาก แต่บางคนก็ชอบที่จะให้ Crossover ดูใหญ่แบบนี้ เพราะทำให้มันดูอลังการและ ดูมีคุณภาพมากกว่าพวกที่เล็กกว่านี้ ซึ่่ง ตัว Crossover จะเล็กจะใหญ่มันก็ไม่เกี่ยวกันเท่าไหร่ เพราะหน้าที่หลักของมันคือการตัดย่านความถี่ให้เหมาะสมกับการทำงานของ Driver แต่ละตัว ดังนั้น ถ้าทำออกมาได้อย่างเหมาะสม แม้่จะเล็ก ก็ทำงานได้ดีเท่าัตัวใหญ่ครับ
แต่ความโปร่งใสที่เป็นข้อดีของ E5C ก็กลับกลายเป็นข้อเสียไปด้วยในตัวเดียวกันครับ เพราะเมื่อเราใช้ไปในระยะเวลานึง ฉนวนหุ้มด้านในจะเกิดอาการออกซิเดชั่น ซึ่งก็จะทำให้สายเกิดอาการเขียวเป็นคราวเกาะอยู่ด้านใน ถ้ามองเผินๆจะนึกว่าสายเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่ถ้ามองเข้าไปใกล้ๆจะเห็นว่ามันเป็นคราบๆ คล้ายๆมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ด้านใน และก็เป็นผลที่ทำให้เสียงของ E5C เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยครับ ไม่ว่าจะใช้รักษามากแค่ไหน ก็มีโอกาสเกิดคราบเขียวได้เท่าๆกันครับ
อีกอย่างคือ ตัวสายจะเปราะได้ง่ายถ้าเกิดโดนคราบเหงื่อติดต่อกันบ่อยๆ อาการเริ่มแรกคือสายจะแข็งก่อน จากนั้นสายก็จะปริแตกทันทีที่เราหยิบมันมาใช้งาน เรียกได้ว่า อาการสายแตกกับ อาการสายเขียว จะพบมากที่สุดใน E5C ครับ ถ้าเกิดสายแตกก็คงต้องเคลมอย่างเดียว และการเคลมหูฟังที่เป็นตัวหิ้วนั้น เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากครับ เพราะทางบริษัท Shure มีการตรวจสอบแหล่งที่ซื้อว่า เราซื้อมากจากภูมิภาคใด ถ้าซื้อจากแถบ Asia ก็ต้องไปเคลมที่ฮ่องกง หรือสิงคโปร แต่ถ้าซื้อจากทาง USA ก็ต้องไปเคลมทางนั้น เราไม่สามารถเคลมสินค้าที่ซื้อจาก USA กับทางฮ่องกงได้ ดังนั้น ถ้าจะให้ดี ซื้อในแหล่งที่เราไปพำนักพักอยู่จะดีที่สุดครับ เช่นอยู่เมืองไทย ก็ซื้อกับศูนย์ไทยจะดีกว่าครับ อย่าคิดเอาเองว่าหูฟังมันไม่พังง่ายๆ เพราะผมเจอมาหลายคนแล้ว ขนาดใช้ระวังสายก็ยังแตก เพราะโอกาสที่หูฟังจะสัุมผัสกับเหงื่อมันเป็นไปได้สูงอยู่แล้ว แม้แต่ SE530 ก็ไม่สามารถแก้ไขเรื่องอาการสายแตกได้ ในขณะที่ Westone ยังเป็น เพราะเป็นสายแบบอ่อน ส่วน UE ก็สามารถถอดเปลี่ยนสายได้ เลยไม่มีปัญหาเรื่องพวกนี้ครับ
มากันที่เรื่องของเสียง
เมื่อลองเปิดเพลงครั้งแรก ผมก็รู้นิสัยของหูตัวนี้เลยครับ เพราะ E5C เป็นหูที่ให้เส้นเสียงได้แข็งมากยิ่งถ้าเคยฟัง Um2 มาก่อน จะรู้สึกเลยว่า นี่แหละ Dark side of the UM2 เพราะทุกอย่างแข็งกร้าวแต่มันก็มาพร้อมพลังความเร้าใจที่กระตุ้นด้วยเบสที่สุดแสนจะแน่นเป็นลูกๆ ฟังแล้วบรรเจิดรูหูมากครับ
Soundstage ก็ค่อนข้างกว้าง แต่ยังมิอาจเทียบเท่า Super.Fi 5 แต่เสียงนี่สิครับ source มายังไงพี่แกก็ให้มาทั้งๆอย่างนั้นเลยครับ และค่อนข้างจับบุคลิกของ System ได้ง่าย เนื่องจากตัว E5C จะไม่ Color ในย่านเสียงสูงเท่าไหร่ แถมเสียงค่อนข้างทื่้อๆ กลา่งๆ ทำให้รับรู้ถึงรายละเอียดที่ system นั้นๆถ่ายทอดออกมาได้ง่ายดาน แต่ด้วยพลังของเบสและพลัง impat ของกลอง มันเลยจะเหมาะกับแฟนๆขาร๊อคตัวจริงเอามากๆ ส่วนพวก Sound Engineer อาจจะต้องมาปรับกันนิดนึง เนื่องจากเสียงกลองจะ color หน่อย เวลา mix ถ้าไม่ชินอาจจะมีปัญหาเรื่องเสียงกลองเกินออกมาได้ แต่โดยรวมก็ถือว่าใช้งานด้านทำดนตรีได้ดีทีเดียวครับ
ถ้าจะพูดเรื่องเสียง Vocal ผมว่า แยกได้ดีทีเดียว มีความชัดเจนของเสียงเครื่องดนตรีและ Vocal มากๆ แต่บุคลิกที่ออกทื่อๆของมัน ทำให้เสียงที่ได้จะแข็ง(กว่า Um2 และ Super.Fi 5) แต่ไม่มีเสียงบาดหลุดออกมาเหมือน Super.Fi 5 จะตินิดเดียวก็ตรงเรื่องการ Focus เสียงของ Vocal ที่ทำขนาดของ image ไว้ค่อนข้างใหญ่ และให้มวลที่เยอะ แต่ก็ไม่ได้แน่นเท่า SE530 ทำให้บางคนฟังจะรู้สึกว่ามันกลวงๆไปหน่อย
มิติเสียงกลางยังสู้พวก E4C หรือ E500 ไม่ได้ แต่ soundstage ผมว่า ดีกว่า E500 เล็กน้อย และเหนือกว่า E4C ครับ เสียตรงที่ตัว E5C จะให้ปริมาณเบสที่มากเกินไปหน่อย ในขณะที่ตัว E5 pro จะให้เบสที่กำลังดีกว่า เพราะเบสเยอะไปมันก็ขึ้นไปกวนเสียงกลางครับ ทำให้ image ของเสียงกลางมันเบลอลงไปเพราะย่านความถี่ต่ำขึ้นมากวน ส่วนตัว pro ค่อนข้างไม่มีปัญหาตรงจุดนี้ครับ ทำให้เสียงร้องชัดทีเดียว แต่อาจจะไม่ถูกใจพวกคอเบสเท่าไหร่ เพราะโดนลดความหนักแน่นของเบสไปหน่อยนึงครับ
จุดเด่นของ E5C คือเบสที่ทรงพลัง มี impact ที่รุนแรง และเป็น IEM รุ่นแรกๆที่มีเบสที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด คือได้ทั้ง impact ของเบส และ middle เบสที่ดี มีความแน่น เดินได้ต่อเนื่อง จนมีบางคนเรียกเบสของ E5C และ E500 ว่า "The Living Bass" เพราะให้ความรู้สึกเหมือนเบสมีชีวิต และมีความไหลลื่นต่อเนื่องในแบบที่หาไม่ได้จากหูฟัง IEM ตัวอื่นๆ
จุดเด่นอีกอย่างคือเสียงกลองที่มี impact ที่รุนแรง น้ำหนักในการหวดกลองจะหนักแน่นมาก ไม่มีอาการแผ่วเบาให้รู้สึก จังหวะการไล่เสียงของกลองแต่ละลูกจะให้ความรู้สึกแน่น รุนแรง และชัดเจน แยกแยะรายละเอียดของกลองทอมแต่ละลูกได้ง่าย แม้จังหวะที่ตีทอมควบคู่ไปกับการเหยียบกระเดื่อง และ เดินไลน์กีต้าร์เบสตาม ก็ยังสามารถแยกแยะออกมาได้ง่ายๆ ในขณะที่หูฟังระดับล่างๆไม่สามารถแยกออกมาได้เลย ส่วนใหญ่จะกลืนกันไปหมด
ข้อเสียใหญ่ๆเลยคือ ตรง Crossover ค่อนข้างใหญ่ ทำให้บางคนเผลอเอา Crossover ไปกระแทกนั่นนี่อยู่บ่อยๆจนมันเสีย แล้วก็กลายเป็นอาการเหมือนหูฟังดับไปข้างนึง บางคนก็ดับสองข้างแล้วนึกว่าสายขาดใน ซึ่งที่จริงเกิดจาก Crossover มันพังครับ หรืออีกอาการที่เจอคือ มันกลายเป็นเสียง mono แบนๆออกมา ไม่มีการแยกเป็น Stereo โปร่ง กว้่าง เป็น 3 มิติให้ได้รู้สึก ซึ่งเวลาใช้งานก็ต้องระวังนิดนึงครับ
ข้อเสียอีกอย่างคือตรงที่สายค่อนข้างแข็งและใหญ่ครับ ทำให้เวลาเราเอาออกจาก Pouchingมันจะไม่คืนตัวง่ายๆครับ น่ารำคาญตรงสองจุดนี้แหละครับ แต่ได้ความหล่อเวลาใส่อวดสาวๆ ( เฉพาะสาวที่รู้จัก Shure นะครับ )
สรุปแล้ว เป็นหูฟัง IEM ที่เหมาะกับ คนที่ชอบฟังเพลงร๊อค หรือแนวๆที่เน้น จังหวะกลองมากๆ หรือ คนที่หิวเบสมาแต่กำเนิด อยากได้อะไรหนักๆมากระแทกรูหูเล่น แต่ก็มีเสียงกังวาลใสประกอบควบคู่ไปด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเป็นคนที่ชื่นชอบในบุคลิกของ E5C จริงๆนะครับ เพราะมันเป็นหูฟังที่ค่อนข้างฟังเพลงแนวๆอื่นได้ยาก เนื่องมาจากความทื่อและแข็งซึ่งเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวของมัน ถ้าทำใจได้ และรับได้ ก็ถือเป็น IEM อีกตัวที่น่าสนใจเอามากๆเลยทีเดียวครับ
Spec
Speaker Type: Dual Low Mass/High Energy Micro-Speakers
Sensitivity (at 1kHz): 122dB SPL/mW
Impedance (at 1kHz): 110 ohms
Cable Length: 1.55m (62 inches)
Net Weight: 31g (1.1oz)
Input Connector: 3.5 mm (1/8") gold-plated stereo plug
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น