วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

[Review] Fostex HP-P1 สุดยอด DAC ที่จะพลิกเปลี่ยนหูฟังธรรมดาๆ ให้กลายเป็น หูฟังไฮโซ..!!

 Fostex : HP-P1








ตัว Fostex HP-P1 ผมเห็นว่ามีรีวิวของไทยโดยคุณ Mezzobello ออกมาแล้วนะครับ ซึ่งก็รู้สึกจะรีวิวกันไปเป็นปีแล้ว แต่เผอิญผมเพิ่งได้ของมาไม่นานนี้เอง จริงๆตอนแรกผมก็เคยได้ลองฟังมันมีก่อนแล้ว แต่ด้วยความที่ไม่เคยจะสนใจความเป็น DAC ของมัน เอาแต่เล็งภาค output ที่เป็น optical เพื่อไปต่อ DAC ตัวอื่นมากกว่า เลยจำไม่ได้ว่าเสียงมันเป็นยังไง แต่การที่เพิ่งได้มาตอนนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะผมมีของเอามา test กับมันเยอะเลย และมีเวลาเยอะกว่าช่วงนั้นมากๆ เลยได้ซนกับมันพอสมควร ก็ถือว่าได้อ่านรีวิวเพิ่มเปลี่ยนบรรยากาศกันไปแล้วกันครับ


HP-P1 ที่ผมได้มา ผมได้ขอยืมจากทาง Sanookgadget มานะครับ เห็นว่าทาง Sanookgadget เป็นตัวแทนนำเข้า Fostex ในไทยเลย แต่ให้ร้าน JetLive ขายแต่เพียงผู้เดียว ก่อนหน้านี้ผมถึงได้ตัว TH-7W มาด้วย คือตอนแรกตั้งใจจะไปเอาตัว HP-P1 ตัวเดียว แต่ทางคุณโจแจกมาให้ครบซีรี่ย์กันเลย มาหมดทั้ง TH-7 , TH-5 และตัวที่ฮือฮาใน Head-fi อย่าง T50RP เสียดายไม่มี TH900 และ TH600 คือถ้ามีคู่นี้มาด้วยผมจะรู้สึกว่าของที่แบกกลับมาดูเบาทันที แต่ชุดนี้นี่แบกหลังแอ่นก็พอตัวเลยทีเดียว ก็ขอขอบคุณทาง Sanookgadget ที่ให้ยืมและให้ของแถมมาด้วยนะครับ ขอ 1 ได้ถึง 4 โปรโมชั่นนี้มีที่เดียว
ตัว Fostex HP-P1 เองที่เมืองนอกก็เห็นว่าชมกันเยอะมากนะครับ แต่ด้วยราคาที่จัดว่าสูงพอสมควรสำหรับ DAC/Amp แบบ Portable บ้านเราเลยไม่ค่อยมีคนซื้อกันเท่าไหร่ อีกอย่างหลังๆผมเห็นว่ากระแสแบบต่อตรงกำลังมาแรง เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยบ้าพลังกันเหมือนพวกยุคแรกๆที่ต้องแบกให้ครบทั้งแอมป์และPlayer เพื่อความเท่ห์และดูเป็น Greek แต่โดยส่วนตัวผมว่าต่อตรงมันไม่สนุกหรอกครับ เพราะมันนิ่งอยู่กับที่ไม่สามารถหาอะไรมาเปลี่ยนเพื่อเพิ่มความโหด มันส์ ฮา ได้เลย ถ้าจะฟังเพลงเอาคุณภาพจริงๆ ยังไงก็หนีไม่พ้นชุดคอมโบ Player+Amp อยู่ดีครับ 
ช่วงนี้จะเห็นว่า Chip DAC ที่ถูกเลือกมาใช้กันค่อนข้างเยอะ ก็จะเป็นพวก ESS Sabre, Burr Brown , Wolfson etc. แต่ทาง Fostex ได้เลือกเอา Chip DAC ที่เป็น Brand จากบ้านเกิดตัวเองอย่าง AKM (Asahi KASEI) มาใช้ อันที่จริงๆแล้ว Chip จากค่าย AKM เอง ก็ถูกเลือกเอาไปใช้ในเครื่องเสียง Hi-End อย่าง Accuphase และ Esoteric อยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องความเทพของ Chip คงหายห่วง แต่ส่วนหนึ่งที่เอา AKM มาใช้ก็น่าจะมาจาก “สำนึกรักบ้านเกิด” ด้วยครับ ภายใต้ concept “เสียงดี ดีลง่าย ใกล้บ้าน” นั่นเอง



คู่ปรับตัวเก่งสำหรับ Fostex Hp-P1 ก็คงจะมี Cypher Lab Algorythm Solo หรือที่รู้จักกันว่า CLAS นั่นเอง เพราะใช้ชิพ AKM เหมือนกัน และ support iOS เหมือนกัน แต่ output ของ CLAS จะเหนือกว่าตรงที่ สามารถออกเป็น Balance ได้ และรองรับ input ของ coaxial ส่วนของ Hp-P1 จะเด่นกว่าตรงที่รองรับ input แบบ optical และสามารถปรับแต่งได้หลากหลายกว่า เพราะสามารถเลือก gain ได้ 3 ระดับ และมี filter 2 แบบให้เลือก เนื่องมาจากตัว HP-P1 เองสามารถเป็นแอมป์ในตัวได้ด้วย ในขณะที่ CLAS จะเป็น Pure DAC จึงไม่มีภาคของการปรับแต่งที่หลากหลายเหมือน HP-P1 และตัว HP-P1 เห็นว่ารองรับ 32bit ด้วยครับ แต่ของ CLAS จะได้แค่ 24bit/192k ครับ 






อีกตัวก็คงจะเป็น SONY PHA-1 ที่มี fuction การทำงานใกล้เคียงกับ HP-P1 มาก แต่ของ SONY จะถูกกว่าและใช้ Chip DAC WM8740 ของ Wofson ซึ่งก็จะรองรับความละเอียดสูงสุดที่ 24bit/96k แน่นอนว่าเรื่องภาพรวมเสียงของ PHA-1 ย่อมจะสู้ HP-P1 ไม่ได้ และการใช้งานต่อเนื่องก็แย่กว่า แต่ความหลากหลายในการเชื่อมต่อของ SONY ดีกว่าครับ เพราะรองรับการใช้งานกับ Android และ คอมพิวเตอร์ ( PC / MAC ) ในขณะที่ HP-P1 ใช้งานได้แต่กับ iOS อย่าง iPhone , iPAD และ iPOD เท่านั้น ( ตระกูล Mac ก็ใช้ไม่ได้นะครับ ) ซึ่งทำให้ตัว HP-P1 ใช้งานได้ในวงที่แคบกว่ามาก และที่สำคัญ PHA-1 หน้าตาหล่อกว่า HP-P1 อีกด้วย 






จริงๆนอกเหนือจากทั้งคู่แล้วยังมี DAC สัญชาติญี่ปุ่นอีกตัวที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในตลาดบ้านเราเท่าไหร่ นั่นคือ GO-DAP เป็นบริษัทน้องใหม่ที่เปิดตัวไม่กี่ปีมานี้เองครับ น่าจะเป็นบริษัทเดียวที่ทำ DAC ออกมาเพื่อเน้น support iOS โดยเฉพาะ เพราะรุ่นแรกที่เปิดตัวก็เป็น DAC+Headphone Amp และเป็นเคสสำหรับ iPhone4/4S ไปด้วยตัวในตัว แต่เนื่องจากการใช้งานมันค่อนข้างแคบเพราะบังคับว่าใช้เฉพาะกับ iPhone4/4S อย่างเดียวจึงทำให้ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากมาย รุ่นหลังๆที่ออกมาจึงกลายเป็น DAC+Headphone Amp แบบธรรมดาเหมือนคนอื่นๆเค้า แต่ก็ยังไม่ทิ้งความสามารถในการ support iOS น่าเสียดายที่ output ออกมาได้แค่ 16bit/48k เท่านั้นเอง ก็เลยหมดสิทธิ์ไปสู้ระดับ Premier League อย่าง HP-P1 และ CLAS ในบัดดล แต่ล่าสุดทาง V-Moda ก็ได้สั่งรุ่น Go-Dap X มาทำเป็น DAC ของตัวเองในชื่อ V-Moda Vamp Versa ซึ่งข้อได้เปรียบของ Vamp Versa คือ ทาง V-moda ได้ทำ Metal เคสสำหรับ iPhone และ Galaxy S3 เพื่อจับคู่กับ Vamp Versa และยังมีสีสันที่ดูดีกว่า Go-Dap X อีกด้วย ข้อดีของทาง Go-Dap X และ Vamp Versa คือสามารถใช้งานได้หลากหลายกว่า HP-P1 และระบบสำรองไฟให้ iPod และ iPhone สามารถใช้งานได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ในขณะที่ของ HP-P1 ทำได้แย่กว่าในส่วนนี้ ส่วนนึงเพราะ HP-P1 ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเน้นการใช้งานแบบ Battery สำรอง และโดยตัวมันเองก็กินพลังงานค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว ดังนั้นการจ่ายไฟกลับไปให้ Player เลยทำได้ไม่ดีนัก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องเสียง ยังไงก็สู้ HP-P1 ไม่ได้อยู่ดีครับ







รูปลักษณ์ภายนอก

งานประกอบระดับ Made in Japan คงไม่ต้องห่วงมากครับ ทุกอย่างเก็บงานได้เนี๊ยบสมราคาค่าตัว ด้านหน้าตรง Volume ใช้เป็น Volume แบบ Switch ในตัว จริงๆถ้าคนทำแอมป์เก่งๆหรือพวกเครื่องเสียง hi-end จะไม่ค่อยใช้ Volume แบบนี้เท่าไหร่ครับ เพราะเป็นที่รู้กันว่ามันจะมีปัญหาอยู่บ้าง ทั้งเสียงป๊อป และ อาการเสียง Delay แบบ Fade in ในช่วงที่เปิดสวิทซ์ใหม่ๆ แต่มันได้เรื่องประหยัดพื้นที่ในการใส่สวิทซ์ปิดเปิดและความสะดวกในการใช้งาน เท่าที่ผมลองตัว HP-P1 ไม่เจออาการป๊อปนะครับ แต่เจอ Fade เข้าเต็มๆ คือช่วงหลังจากเปิดสวิทซ์ มันจะเบามากๆจนเราจะเผลอเร่งเสียงไปเยอะ แล้วจู่ๆเหมือนกระแสมันมาเต็ม เสียงมันก็จะดังพุ่งออกมาทันที พูดตามตรงมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรแต่ก็ทำให้ผมตกใจบ่อยๆ

ตัว body เคลือบสีดำด้านเวลาจับจะสากๆมือหน่อย ทำให้หลุดมือได้ยากและไม่ค่อยสกปรก แต่จะถลอกง่ายหรือไม่นี่ไม่รู้นะครับ แต่เท่าที่ลองเอาเล็บขูดเล่นก็เหมือนจะกันรอยขีดข่วนในระดับนึงนะครับ อีกอย่างใน set เองก็แถมเคสผ้ามาให้ด้วย เป็นเคสที่รู้จักคนเล่นหูฟังมากๆ เพราะเป็นเคสสองชั้น ด้านบนเอาไว้ใส่ iPod ด้านล่างใส่ HP-P1 พกไปไหนมาไหนก็ง่ายสะดวก แต่จะหนักหน่อยเพราะ HP-P1 มันหนักมือพอสมควร 

นอกจากจะแถมเคสแล้ว ในกล่องจะแถมสาย cable สำหรับ iPod/iPhone มาด้วย แต่มันไม่ใช่สาย DATA เหมือนที่แถมมากับ iPod หรือ iPhone นะครับ เพราะไม่สามารถเอาไปถ่ายโอนข้อมูลกับคอมได้ ใช้ได้แค่กับ HP-P1 อย่างเดียวเท่านั้น แต่เราสามารถเอาสาย Data มาใช้แทนสายนี้ได้นะครับ จริงๆเรื่องเสียงมันก็ค่อนข้างต่างกันอยู่ พูดตามตรงผมว่าสาย DATA ของ iPod/iPhone เองจะให้มิติได้ดีกว่า focus เบสเหมือนจะดีกว่าด้วย แต่สาย Fostex จะได้เรื่อง Dynamic และน้ำหนักเสียงที่ชัดเจนกว่า ที่สำคัญเสียงจะคมกว่าด้วยครับ







เรื่องของเสียง

หลายๆคนอาจจะคิดว่า ตัว source หรือตัวต้นทางจะไม่ค่อยสำคัญกับ DAC เท่าไหร่ เพราะมันเป็น DAC และเป็น Digital ดังนั้นปลายทางเสียงที่ได้ออกมาต้องเหมือนกันหมดไม่ว่าจะใช้เป็น Player อะไรก็ตาม ซึ่งสมัยก่อนผมก็เคยมีความคิดเช่นนี้เหมือนกันครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ต้นทางสำคัญมากครับ ไม่ใช่ว่าบุคลิกทั้งหมดที่เราได้ฟังจะเป็นของ DAC 100% เพราะเท่าที่ผมทดสอบมา บุคลิกเสียงของต้นทางก็ยังตามมาอยู่ครับ ดังนั้นตัวต้นสำคัญมากๆครับ ซึ่งเท่าที่ผมลองเสียบมาหลายตัว ทั้ง iPod , iPhone และ iPod โดยสรุปแล้ว ผมเลือก iPod Classic ครับ ลงตัวที่สุด เพราะที่เหลือจะออกแนวจัดจ้านเกินไปหน่อย น่าเสียดายที่ไม่ support iPod Photo และ iPod Gen4 ไม่งั้นจะเด็ดกว่านี้อีกครับ

ถ้าพูดในแง่กำลังขับมันค่อนข้างเหลือๆเลยครับสำหรับ HP-P1 แต่ ผมบอกได้เลยว่า มันไม่ค่อยเหมาะกับพวก Full-Size เท่าไหร่ครับ แต่มันจะไปเหมาะกับหูฟังแบบ in-ear หรือหูฟัง size เล็กๆทั้งหลายมากกว่า แต่ถามว่าใช้ฟัง Fullsize ได้หรือเปล่า คือมันก็ไม่เชิงว่าไม่ได้นะครับ เพราะถ้ามัน Match กับพอดีอย่างที่ผมลองบางตัวมันก็โอเคเลยครับ แต่ผมว่า Dynamic มันยังไม่ได้ครับ น่าจะเป็นปัญหาของส่วนภาคขยายที่ทาง Fostex ไม่ถนัด ทำให้มวลน้อยไปหน่อยสำหรับการฟังเพลงด้วยหูฟัง Full-size มันเลยไปลงตัวกับ in-ear มากกว่านั่นเอง

จุดเด่นๆเลยของ HP-P1 คือการให้มิติของเสียงครับ ด้วยความสามารถในการแยกชิ้นดนตรีที่อยู่ในระดับขั้นสุดยอด เพราะเท่าที่เคยลองฟัง DAC หลายๆตัวในระดับราคาไม่เกิน 3-4 หมื่นบาท ยังไม่มีตัวไหนแยกชิ้นดนตรีได้ดีขนาดนี้เลยครับ กระทั่งรุ่นพี่ของมันเองอย่าง Fostex A8C ถ้ามาวัดกันเฉพาะเรื่องแยกชิ้นดนตรี ผมก็ว่า HP-P1 ทำได้ดีกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำครับ ( แต่ด้านอื่นๆแพ้ลุ่ยเลย )

ด้วยความที่มิติดีมากๆ การวางชิ้นดนตรีเลยทำได้ง่ายครับ ทั้งลึกทั้งกว้างไปด้านหลังหัวและยังให้ soundstage ออกด้านข้างได้ดีมากๆ กระทั่ง image เบสออกยังจับถอยไปไว้ไกลๆให้ไม่มากวนเสียงย่านอื่นเลยครับ รูปทรงมิติแม้จะออกแนววงรีแบบรูปรักบี้ แต่ฟังแล้วรู้สึกสบายโล่งโปร่งดีมากๆ ที่สำคัญ image ทุกชิ้นให้รูปทรงที่เป็น 3 มิติทั้งหมด ไม่มีชิ้นไหนออกแบนๆแม้แต่ชิ้นเดียว บางเพลงที่อัดมาดีๆจะรู้สึกถึงชิ้นดนตรีที่มาอยู่ช่วงด้านหน้าเราด้วยซ้ำครับ

ในส่วนของ Background noise นี่แทบไม่มีเลยครับ เสียงสงัดมากๆ การแบ่งแยกช่องว่างของชิ้นดนตรีเลยออกมาดี ซึ่งก็เป็นส่วนที่เสริมให้ image ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นแยกกันได้ขาดจากกัน และยังช่วยเรื่องการ Focus ทำให้ชัดเจนมากขึ้น อารมณ์ประมาณเหมือนเปลี่ยนจากหนังแผ่น DVD มาดูหนังระดับ 1080p ในแผ่น Blu-Ray นั่นแหละครับ 







เสียงสูงจะออกคมชัดปลายไม่ห้วนและทอดตัวได้ดี การให้รายละเอียดเสียงสูงก็ทำได้ดีครับ คือไม่ได้ไปช่วยเพิ่มหรือไปลดทอนให้ด้อยลง แต่ไปจับให้ focus มันชัดขึ้น เสียงแต่ละเม็ดก็เลยได้ยินชัดมากยิ่งกว่าเดิม ผมลองเอาหูฟังที่ให้เสียงออกแห้งๆหน่อยมาลอง ปรากฏว่ามันช่วยเสริมให้ความแห้งลดลง กลายเป็นมีน้ำมีนวลขึ้นมาทันที ที่เห็นเด่นชัดเลยน่าจะเป็นส่วนของเสียงร้องที่เสียงดูดีและผ่อนคลายขึ้น ไม่บีบอัดแห้งผาดให้อึดอัดเวลาฟัง เพราะปรกติตอนต่อตรงผมจะรู้สึกว่ามันทั้งแห้งและอึดอัดมากๆ แต่ image จะเล็กลงกว่าเดิมนิดหน่อยนะครับ

จุดเด่นอีกอย่างคือเบสเลยครับ ไม่ใช่ว่ามันให้มวลเบสเยอะกว่าเดิมนะครับ แต่มัน Focus เบสให้ดีขึ้นและลดความบวมของเบสลงได้อย่างน่าตกใจ หูฟังตัวไหนว่าเบสเยอะๆไปลองได้ครับ เบสที่ว่าเยอะจะเปลี่ยนไปเป็นเบสที่ลงตัวขึ้น ปริมาณเบสออกมาดูดีแบบผิดหูผิดตาเลยครับ แถมยังแยก impact และ middle เบสออกจากกันเป็นคนละส่วนไปเลย ดังนั้นเวลาเราฟังเพลงที่นักดนตรีเล่นสไลด์เบสตีคู่ไปกับเสียงกระเดื่อง เราจะได้ยินอย่างชัดเจนมากๆ แต่ส่วนที่หายไปเยอะคือ Deep เบสครับ ไม่ใช่ว่ามันหายไปเลยนะครับ แต่เพราะมันโดนเกลาให้รูปร่างของเบสดีขึ้น เบสออกมาเป็นลูกที่ชัดเจนขึ้น ส่วนของ deep เบสเลยโดนทอนให้ลดลงไปตามเพื่อไม่ให้มันออกมาบวมจนดูหนาไปหมด 

ในส่วนของเสียงกลางจะให้ impact ที่เพิ่มมากขึ้นและเนื้อที่แน่นขึ้นครับ ดูจากจังหวะการตีของกลองที่มัน color ขึ้นกว่าเดิมมาก หัวโน้ตที่ออกมาเวลาที่หวดลงบนหน้ากลองแต่ละครั้ง ถ้าเทียบกับการต่อตรงจะรู้สึกเลยว่าสิ่งที่ออกมามันคนละเรื่องเลยครับ เพราะกลองจะมีความหนาขึ้น น้ำหนักแน่นขึ้น และมีความเป็นมิติที่ชัดขึ้น แต่ถ้าไปเจอหูฟังที่ให้เสียงกลอง color สุดๆอยู่แล้ว มันจะยิ่งหนาแบบเกินความเป็นจริงไปเลยครับ 

ส่วนที่เสริมขึ้นมาของ HP-P1 นอกเหนือจากการปรับ Gain ตามมาตรฐานสากลแล้ว ยังมีพิเศษตรงส่วน Filter มาให้ด้วย ซึ่ง Filter 1 จะเป็นการตัดปลายเสียงสูงที่จะมีผลให้ Driver สั่นค้างนานเกินความจำเป็นออก ( Sharp Roll-off filter ) ส่วน Filter ที่ 2 จะเป็น Filter พิเศษที่มีเฉพาะใน chip AKM เท่านั้น ซึ่งมันจะทำการลด delay ลง เพื่อให้เสียงมีความกระชับกระเฉงมากขึ้น โดยจะไปลดเอาส่วนที่เป็น Pre-Echo ออก (Pre-Echo คือปลายเสียง หรือ เสียงสะท้อนที่มันส่งมาหาเราก่อนที่ชิ้นดนตรีจริงๆจะโผล่ขึ้นมา มันจะมาเป็นบางๆเหมือนเสียงสะท้อนเบาๆ ส่วนมากจะเกิดกับพวกเครื่องดนตรีประเภท percussion ทั้งหลาย ที่เจอบ่อยๆก็น่าจะเป็นพวกตระกูล crumble หรือพวกสแนร์ ว่าง่ายๆคือ เสียงมาก่อนตัวนั่นเอง ซึ่งอาการพวก Pre-Echo เกิดมาจากขั้นตอนการบีบอัดเสียงอย่างพวก file MP3 , AAC และ Vorbis พูดง่ายๆคือพวกตระกูล Lossy ทั้งหลายนั่นเอง ) ส่วนเรื่องการเปลี่ยนแปลงหลังจากการปรับ filter แล้ว ผมก็คิดเหมือนคุณ Mezzobello คือ เปลี่ยนแปลงค่อนข้างน้อยมากๆ ที่เด่นๆน่าจะเป็นเรื่องการวาง image ที่แบบ Filter 1 จะถอยกว่า filter 2 และ image ดูเล็กกว่าครับ แถม Filter 2 เสียงจะดูจัดจ้านกว่าเล็กน้อย 

เท่าที่ลองเอา HP-P1 ไปจับกับ Full-size ความประทับใจที่ได้น้อยกว่าเอาไปต่อกับอินเอียร์ครับ เห็นเค้าว่ามันเป็นเพราะภาคแอมป์มันห่วยเลยทำให้ไม่ค่อยเหมาะกับ Fullsize เท่าไหร่ แต่จริงๆผมเอาไปลองกับ fullsize หลายๆตัวนะครับ คือทุกๆตัวก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทั้งหมด ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจากหูฟังที่ฟังแทบไม่ได้ให้กลายเป็นฟังได้ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าเทียบกับการเปลี่ยนแปลงที่ได้จาก in-ear แล้ว ดูเหมือน in-ear จะให้ผลการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าและเห็นผลชัดเจนกว่า โดยเฉพาะ In-ear ถูกๆทั้งหลาย เพราะมันจะเปลี่ยนให้กลายเป็น in-ear ที่ดูดีมีราคาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เอาง่ายๆอย่าง E30mod ของผมเอง ปรกติฟังมันก็ธรรมดา แต่พอต่อผ่าน HP-P1 มันกลายเป็นหูฟังที่ดูแพงกว่าเดิมขึ้นมาทันที เพราะการแยกชิ้นดนตรีขึ้นไปใกล้ๆกับหูฟังเรทระดับหมื่นขึ้นเลยครับ ทั้งเบสและเสียงกลางก็ลงตัวมากขึ้นกว่าเดิม เท่าที่ผมลองหูฟังหลายๆตัวโดยเฉพาะพวกที่ไม่ค่อยเข้าท่าทั้งหลาย พอต่อ HP-P1 มันก็จะเข้าท่าขึ้นทันตาเห็น ไม่ต้องไปนั่งเปลี่ยนสายเปลี่ยนแจ๊คให้เสียของ ลองต่อผ่าน HP-P1 ดูก่อนแล้วค่อยไปทำก็ยังไม่สาย เพราะเปลี่ยนมาแล้วยิ่งต่อก็ยิ่งดีขึ้นครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องลอง Match Pair ก่อนนะครับ ใช่ว่ามันจะไปดีกับหูฟังทุกตัว ต้องอย่าลืมว่าตัว HP-P1 จะไปลดมวลเบสลง อย่าไปคาดหวังว่าจับกับหูฟังอื่นๆแล้วเบสจัดเต็มกันได้ทุกตัว มันดูจะเหมาะกับหูฟังที่เบสเยอะๆมากกว่าพวกเบสน้อยๆครับ แต่ถ้าเทียบเรื่องเสียงที่ได้กับราคา ก็ต้องถือว่าเป็น DAC amp ที่คุ้มราคานะครับ แม้ว่ามันจะแพง ( บางท่านบอกแพงโคตรๆ แต่ไหงซื้อ AK100 กันได้หว่า ) และการใช้งานไม่หลากหลาย แต่ถ้าดูจากสิ่งที่มันให้รวมถึงวัสดุของมัน ซึ่งให้บุคลิกเสียงที่หาตัวมาสู้กับมันได้ยาก ก็ต้องถือว่าคุ้มตังค์ครับ เหมาะสำหรับคนชอบความลำบากในการพก แต่เน้นเรื่องคุณภาพเสียงเป็นหลัก เพราะถ้าเอาสบายๆผมว่า AK100 พกสบายกว่า แต่เสียง AK100 สู้ไม่ได้แน่นอนครับ เสียอย่างเดียวที่ไม่รองรับการต่อคอมทาง USB ไม่งั้นจะคุ้มยิ่งกว่านี้อีกครับ

แถมอีกนิดนึงว่า การต่อ HP-P1 กับ iPOD Classic จะให้คุณภาพเสียงที่ดีและลงตัวที่สุดครับ จริงๆถ้ามันต่อ iPOD 4th Gen ได้จะดีกว่านี้ แต่บังเอิญตัว 4th Gen มันไม่มี Digital Output มันเป็นแค่ Line Out ธรรมดา เลยไม่สามารถใช้งาน DAC ได้ ถ้าให้เทียบการต่อกับ iPhone , iPAD และ iPOD Classic ผมว่า ยังไง Classic ก็ดีที่สุดครับ เพราะ iPhone และ iPAD จะไปทำให้เสียงสูงคมขึ้นและแข็งมากขึ้น แต่กลางบางลง บางกว่าใน Classic พอสมควร และการแยกชิ้นดนตรีของ iPOD Classic ก็จะทำได้ดีกว่าด้วยครับ แต่ soundstage ของ iPAD และ iPhone จะดีกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง ดังนั้นถ้าให้แนะนำ ควรจับคู่กับ iPOD Classic ถึงจะดีที่สุดครับ


ไม่มีความคิดเห็น: