Shure E500 PTH ( SE530 )
หูฟัง IEM ที่ตอนนี้ถูกถือว่าเป็นตัวที่สุดยอดของ Series ครับ ด้วยระดับ QC ของ Shure ที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอยู่แล้ว ไม่ว่าจะผลิตที่ไหนก็สามารถ Control QC ได้เยี่ยมที่สุด รวมทั้งสไตล์เสียง Flat ที่เป็นเอกลัษณ์ประจำตัวของค่ายนี้ ทำให้คนที่ชื่นชอบในน้ำเสียงของ Shure ต้องตกหลุมจนถอนตัวจากค่ายนี้ไม่ขึ้น
ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของ E500 นั้น ทำให้ไม่ต้องห่วงเรื่องอาการ Crack Housing เหมือนกับทางฝั่ง UE( 555 ) วัสดุภายนอกดีมาก แต่ความแข็งแรงผมดูแล้ว E5C ก็ยังดูแข็งแรงกว่าอยู่ดีครับ ตัวนี้ให้ความรู้สึกที่บอบบางกว่า E5C ตั้งแต่สายไปยัน Driver เลยครับ ส่วนยาง normal ที่ให้มาตั้งแต่แรกเริ่มก็เป็น ซีลีโคนเทาแบบที่ใช้ใน E4C ครับ ไม่ได้เป็นพลาสติกใสแบบ E5C ซึ่ง แสดงให้เห็นว่า เสียงไม่เหมือน E5C แน่นอน แต่ต้องเหมือน E4C มากกว่า ( จริงๆไม่เกี่ยวหรอกครับ แต่เสียงออกไปทาง E4C จริงๆ 555 )
ปัญหาของ E5C ที่บางคนเคยเจอ คือ อาการเหมือนหูฟังดับไปข้างนึง ส่วนมากจะนึกว่าสายขาดใน ซึ่ง อันที่จริงแล้วเป็นปัญหาของ Cross Over เพราะมันพังครับ
จะเห็นว่า E5C มี Cross Over เป็นตุ่มใหญ่ๆ เรียกว่าไปกระแทกโดนข้าวของได้ง่ายมากด้วยครับ แถมยังเกะกะลูกตาอีกตะหาก ดังนั้น E500 จึงได้ออกแบบ Cross Over ให้เล็กลง เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น และเพิ่มความทนทานมากขึ้น ตัว E500 จึงยังไม่เจอคนบ่นว่าเสียงลำโพงออกข้างเดียวครับ
อุปกรณ์ที่มาในชุดก็เรียกว่าครบครันทีเดียวครับ มีตั้งแต่ยางซีลีโคน , โฟม , สายต่อปรกติ , สายต่อแบบมี Volume Control , แจ็คแปลงขนาด และที่สำคัญคือ มี Push To Hear ( PTH ) ด้วยครับ
ตอนแรกที่ผมอ่านรายละเอียด Push to hear ตามที่ Shure บอกกล่าวมานี่ ผมถึงกับอึ้งถึงหลักการทำงานของมันครับ เพราะทาง Shure เล่นบอกว่า หลักของ Push to hear คือ ตัวระบบจะสร้างคลื่นเสียงที่มีระดับคลื่นเท่ากับที่ออกมาจาก Player เพื่อหักล้างเสียงดนตรี และให้เสียงจากภายนอกสามารถลอดเข้ามาให้ได้ยินประหนึ่งเหมือนไม่ได้ใส่หูฟัง เลย... แต่เอาเข้าจริงๆ ... มันก็แค่ไมค์กับระบบตัดเสียงธรรมด๊า ธรรมดา... ไม่ได้วิเศษอะไรเลย เสียความรู้สึกหมด ( 555 )
มาว่ากันเรื่องเสียงครับ ในเรื่องของ Soundstage นั้น Shure E500 ผมว่าให้ลักษณะ Soundstage เหมือนไปทาง E4C มากครับ แต่ให้ soundstage ที่กว้างกว่า และให้มิติเสียงกลางที่ลึกว่า Dynamic ของ E500 ก็ดีกว่า E4C ครับ โดยเฉพาะในย่านของเสียงสูง E500 ให้ปลายเสียงสูงไปได้ไกลกว่า E4C เยอะครับ ซึ่งลักษณะ Soundstage จะไม่เหมือนของ Triple.fi ครับ เพราะไม่ได้เรียกเป็นหน้ากระดานกว้างๆตามลักษณะของวงรีแนวนอน แต่จะออกเป็นลักษณะ Soundstage แบบวงรีแนวตั้ง ซึ่งให้มิติที่ลึกกว่า Triple.fi และมีความเป็น 3 มิติสูงกว่ามากครับ การแบ่งแยกชิ้นดนตรีไม่ต้องห่วงครับ ทำได้ดีแบบไม่มีปัญหา เรียกว่าเสียงกลาง สูง ต่ำ แบ่งแยกตำแหน่งอยู่กันได้ชัดเจนมาก
เสียง Vocal ของ E500 ยังคงออกมาในลักษณะสไตล์ Shure ครับ แน่นอนเสียงร้องชัดมาก แต่ ก็ยังคงมีความทื่อแฝงอยู่ แม้ว่าจะพยายามสร้างความเป็น musical ให้มากขึ้นกว่าตอนสมัย E5C แล้วก็ตาม เพราะเสียงร้อง E5C นี่ไม่ไหวจริงๆครับ มันก็ชัดอยู่ แต่ทื่อมากๆไม่มีความาพริ้วของน้ำเสียงเลยครับ ในส่วนนี้ E500 ทำได้ดีกว่าครับ เพราะถึงแม้จะเกือบทื่อๆ แต่ก็ยังมีความพริ้วของปลายน้ำเสียงเล็กๆ เลยทำให้ฟังได้สะดวกหูกว่า E5C ครับ
เสียงร้องของ E500 นั้น จะถูกมาร์คตำแหน่งที่เรียกว่าแทบจะคงที่คงที่ครับ และความมวลที่อิ่มมากๆ จนบางเพลงผมสามารถสัมผัส image ของคนร้องได้เลยทีเดียว ประมาณว่ารู้สึกเป็นหัวคนกำลังร้องเพลงเลยน่ะครับ เพราะเสียงร้องมีลักษณะของความเป็น 3 มิติครับ คือมีความลึกตื้นอยู่ในตัวเอง ( แต่ sound อื่นๆผมไม่รู้สึกนะ กีต้าร์ก็ยังไม่เด่นชัดเป็นมิติเหมือนเสียง vocal ) และด้วยการวางตำแหน่งเสียงร้องที่คงที่ ทำให้เวลา sound ขึ้นพร้อมกันเยอะๆจะไม่สามารถเข้าไปกวนเสียงร้องให้บางลงได้เลย ( Triple.fi จะเป็นครับ เพราะจะ Drop ลงเล็กน้อย ) ยิ่งเวลามีเสียงร้องแบบ Duet หรือเวลามีคอรัส ตัว E500 จะยกมาไว้ตำแหน่งใกล้ๆกันหมด แต่ ไม่ทับเสียงกันเองเลยครับ เรียกมีการถอยฉากแบ่งแยกของเสียงแต่ละคนได้ดีทีเดียว แต่ ผมว่าในส่วนของการแยกเสียงร้องนั้น ถ้าเอาตามสไตล์ของ Triple.fi จะแยกเสียงได้ชัดเจนกว่า เพราะถึงแม้จะไม่มีการทับเสียงกัน แต่ก็ยังมีย่านเสียงเข้ามาปนกันอยู่ ถ้าแยกฉีกตำแหน่งแบบ Triple.fi ผมว่าจะยิ่งดีกว่านี้อีกครับ
ในส่วนเสียงสูงนั้น ตัว E500 จะให้อารมณ์เหมือน Tweeter โดมผ้าครับ เพราะถึงเสียงสูงจะบาดที่สุดใน Shure ทุกรุ่น แต่ก็มีขอบเสียงสูงที่มนๆ ไม่ได้เป็นสูงบาดจัดจ้านเหมือนกับ Super.fi 5 pro ก่อน burn เท่าที่ผมลองฟังมาตลอด ผมรู้สึกว่ามันเป็นเสียงสูงที่พริ้วไหวครับ ดังนั้นถ้าถามผมว่ามาฟังแจ๊สเทียบกันกับ Triple.fi แล้วเป็นไง... ผมก็จะตอบเลยว่า ถ้าแซ็คขึ้น Take หรือมี Trumpet อัด ... เสียดหูพอสมควรเลยครับ 555 อารมณ์ประมาณ Triple.fi และ Super.fi นั่นแหละครับ แต่เป็นแหลมที่มีคุณภาพกว่า Super.fi เยอะครับ เพราะให้ อารมณ์ image เสียงสูงได้นิ่งกว่า และทอดตัวได้ไกลแถม Smooth กว่าเยอะ
ในส่วนของเบสนั้น ยังสู้พวกสาย Ultimate Ears ไม่ได้ในเรื่องของความ Impact ครับ เพราะความ impact ของเบสยังน้อยกว่าครับ ไม่ได้กระแทกแรงๆเหมือนสมัย E5C อีกด้วยครับ พลังของเบสถูกลดลงเพื่อไม่ให้ไปกวนกับเสียงย่านอื่น และเพิ่มประสิทธิภาพของการเดิน Melody เบสเข้าไปแทน เรียกว่ามีความไหลลื่นของเบสกว่าตอนสมัย E5C เยอะครับ จังหวะการสไลด์บนสายเบสก็ได้ยินชัดเจนครับ ( แต่ยังสไลด์สู้ HD650 ไม่ได้ ) มันให้ความรู้สึกได้เลยว่า เหมือนเบสมัน "มีชีวิต" ครับ เสียตรง Deep เบสผมว่าน้อยไปและบางไป ไม่งั้นนะครับ HD650 ก็เถอะ พร้อมชกด้วยเลย
ในส่วนของกลองนั้น ตัว E500 ทำได้ดีมากเลยครับ มีความ impact ของกลองสูงมาก ลงน้ำหนักกลองได้แน่น อารมณ์เหมือนหน้าไม้สัมผัสกลองหนังขึงตึงๆตลอดเวลา เสียงกีต้าร์ก็ขึ้นได้ดีครับ แต่ผมว่า กีต้าร์ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรครับ ยังสู้ MX90vc ไม่ได้ เพราะให้น้ำหนักของกีต้าร์ได้ไม่ดีเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ iPOD ไม่ถึงขั้น หรือ E500 ทำได้ไม่ดีก็ไม่รู้ แต่เท่าที่ต่อ CD Player ตัวใหญ่ เสียงกีต้าร์ก็ดีขึ้นกว่าเดิม คือ image นิ่ง แต่ขาดน้ำหนักเช่นเคย ( อยากจับ CD5 มาทำเป็น Portable จริงๆเลยวุ๊ย )
ลักษณะเสียงโดยรวมของ E500 จะคล้ายไปทาง E4C ครับ แต่ผมว่า soundstage กว้างกว่า E4C และมิติเสียงกลางไม่โดดเหมือน E4C ด้วยครับ และมีความลึกของมิติเสียงกลางที่ดีกว่า เสียงโดยรวมที่มีความอิ่ม ความคมชัดของ image และมี Dynamic ที่ดีทีเดียวครับ การแยกชิ้นดนตรีไม่ต้องห่วงเลยครับ เรื่องที่ sound จะมาทับซ้อนกันตีกันไม่มีให้เห็นเลยครับ ผมจำไม่ได้แล้วว่าเสียงร้องของ E4C เป็นไงบ้าง แต่ตัว E500 ก็ยังคงเป็นสิ่งที่เรียกว่า Shure ครับ จะหวานก็ไม่หวาน จะอิ่มก็ไม่อิ่ม จะทื่อก็ไม่ทื่อ เรียกว่า อยู่กลางๆของสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งถ้าเทียบกับหูฟัง Shure ที่ผ่านๆมา ตัวนี้มีความน่าฟังมากที่สุดครับ เพราะผมทนฟังได้นานที่สุด ไม่นับ E4C
ข้อเสียหลัก คือ การเก็บเสียงครับ ผมว่า การเก็บเสียงนั้น ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ บางเพลงผมเปิดเบาๆก็ยังได้ยินเสียงจากภายนอกเข้ามากวนบ้างครับ ยิ่งเวลาขับรถนี่ยิ่ง เสียงบีบแตร์ยังได้ยินเลยครับ ( แต่ตอน E5 ไม่เป็นนะครับ แปลก ) อาจจะด้วยยางซีลีโคนที่แถมมา ยังเก็บได้ไม่ดีนัก ( เก็บได้พอๆกับ Triple.fi ) ส่วนตัวยังไม่ได้ลองด้วยโฟมไม้ตาย และยางพลาสติกใสนะครับ เพราะผม test ด้วยระดับ normal ที่มาพร้อม driver เพราะผมถือให้ตรงนี้เป็น Base ไว้ก่อน ถ้าปรับเปลี่ยนอะไรแล้วดีขึ้นก็เป็นเรื่องของคนๆนั้นครับ
แต่เรื่องนี้พวกนี้ก็ทำให้ผมนึกถึง Um2 ในส่วนความเป็น Isolation ครับ ผมคาดว่าอาจจะด้วย ขนาด Driver ของ E500 ก็ได้ครับ เพราะขนาดมันไม่ได้เล็กแต่อย่างใด การใส่นั้นก็เลยยังไม่อาจกระชับเท่ากับ UM2 ครับ ความสบายก็ยังแพ้ครับ ยิ่งถ้าใครมีขนาดรูหูซ้ายขวาไม่เท่ากันจะเห็นผลเลยครับ เพราะจะถูกด้านที่เล็กค่อยๆบีบดันไล่ driver ด้านนั้นออกมา ในขณะที่ UM2 ไม่เป็นครับ แต่จะเสียอย่างเดียวตรงที่โฟม UM2 เปื่อยง่ายมากๆ ไม่งั้นจะดีกว่านี้เยอะ
สรุปว่าคุ้มที่จะซื้อมาใช้ครับ แต่อย่าลืม ควรไปลองเองทุกครั้งครับ เพราะหูฟังที่ดี ต้องดีกับความรู้สึกเราเท่านั้นครับ:)
Specifications:
- Weight: 1.02 oz (29g)
- Speaker Type: Triple TruAcoustic Microspeaker
- Sensitivity (1mW): 119 dB SPL/mW
- Impedance (1kHz): 36 ohms
- Frequency Range: 18Hz - 19kHz
- Cable Lentgh Without Extension: 18in./45cm
- Cable Lentgh With Extension: 54in./136cm
14 ความคิดเห็น:
ตัวนี้เท่าที่ไปลองฟังดู รู็สึกจะเหมาะกับ pop และrock
ถ้าไหาเพลงแบบที่ต้องใช้การลากเสียงคนร้องตัวนี้สุดยอดมาก ยิ่งช้ายิ่งชัดเลยตัวนี้
ตัวอย่างเพลง
masaaki_endoh เพลง Yuzurenai_Negai
ผมไปลองฟังรู้สึกเห็นความชัดเจนของเสียงร้องเลย
ไม่เชื่อลองไปฟังดูละกัน
จริงครับ ตัว SE530 ถ้าฟังเพลงช้า จะได้เนื้อเสียงที่ดีมากๆ แต่พยายามอย่าใช้จุกโฟมนะครับ ใช้จุกซีลีโคนจะให้เสียงที่ดีกว่า เพราะจุกโฟมใ้ช้แล้วเสียงจัดมาก
ตัวนี้ถ้าเทียบเสียงแหลมก่ะ fi.10 เป็นไงหรอครับ
แบบ ผมชอบ สเตจ ของ fi.5 เดิมของผมคับ แต่มันบาดหู
530 นี่ฟังละมันจะโล่งเหมือน UE ป่าวอ่ะคับ
ไม่เคยลองนิ
ผมฟังเพลงทุกๆแนวเลยคับ ไม่รู้ตัวนี้จะเหมาะรึปล่าว
Detail Fi.10 จะเหนือกว่าครับ soundstage กว่าดีกว่า แต่มิติเสียงกลางของ fi. 10 จะสู้ไม่ได้ครับ
อันนี้แล้วแต่ชอบนะครับ ตัว fi.10 จะสดฟังเพลงสนุก แต่ SE530 จะ dark นิดนึง เบสแน่น กลางดี แยกชิ้นดนตรีดี
ถ้าชอบแบบไม่จัดจ้าน ลองดุู UM3X ดีกว่าไม๊ครับ
3x นี่มาแนวๆไหนหรอครับ
คือ ผมชอบเสียงใสๆนะครับ แต่ ue มันบาดไปนิดอ่ะ
UM3X จะออกโทนนุ่มนวลครับ เสียงสูงใสชัด แต่จะนุ่ม กลางอิ่มมีมวล เสียงไม่จัดจ้าน และ soundstage กว้างครับ
จริงๆ Triple fi.10 pro ถ้าฟังไปเรื่อยๆเมื่อชินกับเสียงจะไม่รู้สึกว่ามันจัดจ้านหรอกครับ ผมฟัง fi.5 นานๆยังไม่รู้สึกว่ามันจัดเลยครับ
ว่าแต่ใช้ player ตัวไหนอยู่ครับ
ใช้ ipod classic gen 5
ครับ
จะเหมาะก่ะ ตัวไหนมากกว่ากันคับ
ดูอยู่ fi.10 se530
um3x
มีตัวไหนแนะนำอีกไหมครับ
3 ตัวนี้ึคือ 3 ผู้ยิ่งใหญ่แล้วละครับ
การเลือกคงต้องไปลองฟังเองเป็นหลักครับ เพราะ review กับคำแนะนำทำได้แค่เป็นแนวทางครับ
Triple.fi 10 อาจจะจัดไปซักหน่อยถ้าไม่ชอบเสียงจัดจ้าน แต่มวลกลาง การ focus และโทนโดยรวมถือว่าทำได้เยี่ยม และเสียงจัดของ Triple.fi 10 ก็ไม่ได้เป็นจัดแบบบาดหูรุนแรงเหมือนของ denon
ต้องลองฟังดูเองครับ
ขอถามหน่อยครับว่า ผมพิ่งซื้อตัวนี้มา เวลาเปลื่ยนจุกโฟมใส่ยากมาก อยากถามวิธีอ่ะครับว่า
เวลาใส่จุกโฟมคืนเข้าไป ต้องดันให้ตรงโคนของโฟม ผ่านจุดที่มีเหมือนเป็นข้อไหมครับ
ใช่แล้วครับ ต้องดันให้ผ่านตรงข้อนั่นลงไป
จริงๆวิธีถอดกับวิธีใส่ไม่ถึงกับยากมากน่ะครับ คือ ต้องบีบที่โฟมให้จับโดนแกนของโฟม แล้วเวลาใส่ หรือ ถอด ออก ให้ค่อยบิดไปบิดมาพร้อมกับดันลงไปเรื่อยๆ หรือถ้าเป็นการถอด ก็ค่อยๆบิดไปบิดมาแล้วดึงขึ้นมาเรื่อยๆ จะถอดออกเองครับ
เวลาใส่หรือถอดให้ระวังท่อหักด้วยนะครับ
ขอบคุณครับ กลัวท่อหักจริงๆเลย
อยากให้รีวิว westone 3 กับ um3x ครับ
อาจจะได้ review เร็วๆนี้่ครับ ตอนนี้รอของอยู่ครับ :D
อากาศที่เมืองไทยสามารถทำให้สายของ Shure SE530 กรอบง่าย
แสดงความคิดเห็น