วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Review หูฟัง Westone UM2

Westone UM2






ต้องถือว่าเป็นหูฟัง IEM ตัวที่สองที่ผมมีเลยทีเดียว ( ตัวแรกคือ Etymotic ER6i ) แต่ เป็นหูฟัง IEM ตัวแรกที่ผมได้ฟังครับ จริงๆต้องเล่าย้อนไปนิดนึง คือ แรกเริ่มเดิมทีกับหูฟังตัวนี้ ผมไม่มีความคิดที่จะอยากได้มันเลยครับ แต่มันเป็นเรื่องบังเอิญที่ไปงาน BAV แล้วไปเจอร้านที่ขาย Etymotic แล้วก็บังเอิญทีแกมี Westone ขายด้วย มีทั้ง UM1 และ UM2 เลย ตอนแรกผมกะว่าจะแค่ฟังเฉยๆปรากฏว่า เกิดประวัติการณ์พิศดารทางรูหู ! โอ้วแม่เจ้า ! เสียงกลองทำไมมันแน่นอย่างนี้ แน่นกว่า EP880 ที่ผมมีซะอีกเบสก็นุ่มแสนนุ่ม กระเดื่องก็ชัด ได้ยินกระทั่งเสียงสั่นของหนังบนหน้ากลองที่สะเทือนส่งคลื่นเป็นเรสโซแนนท์ต่อเนื่องทิ้งระยะไปบางๆ ( เว๊อร์เว่อร์ แต่เรื่องจริงนะ) soundstage ก็... เอ่อ ไม่กว้างเท่า EP880 แต่มิติเสียงกลางเหนือกว่าเยอะ เสียงครอบคลุมทุกช่วงย่านความกว้าง เบสแน่นอนกว่า นุ่ม แน่น และมีพลัง ไม่ใช่นุ่มเบาบางเป็นสำลีอย่าง EP880 ถ้าเป็นกาแฟก็ต้องLate' ที่ทำมาในรูปแบบของ Late' Art เมื่อรสชาติของเอสเพลสโซ่เข้มข้นผ่านลิ้นไหลลื่นลงสู่คอ ก็จะมีความนุ่มละมุนของนมสดที่ตีคู่เข้าไปพร้อมกันด้วย...

พูดง่ายๆคือ ฟังติดหูตั้งแต่วันนั้นครับ แต่ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้วันนั้นไปคว้าเอา ER6i มาแทน แล้วสุดท้ายก็ต้องขายมันทิ้งไปภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เพราะคิดถึงเสียงของ UM2 จนจับใจ สุดท้ายก็ได้มันมาเป็นเ้จ้าของแบบจริงๆจังๆจนได้่

ตัวงานของ UM2 ทำได้เนี้ยบและเรียบร้อยมากครับ ตัว Housing ที่เป็นพลาสติกก็ดูแข็งแรงและเหนียว เห็นมันใสแบบนั้น แต่กลับทนทานพอๆกับของ E5C เลยทีเดียว ตัวสายเป็นแบบเ้ส้นถัก เล็ก แต่แข็งแรงและมีความอ่อนนุ่มในตัว ไม่ได้แข็งกระด้างแบบของ E5C แต่ผมค่อนข้างไม่ประทับใจตัว Packaging ของ Westone UM2 เท่าไหร่ เพราะในช่วงนั้นผมซื้อในราคาหมื่นกว่าๆ แต่ กล่องเป็นแค่พลาสติกธรรมดา ธรรมดา ข้างในก็ไม่มีอะไรเลย ในขณะที่ของ E5C มาเป็นอลูมิเนียม ก็เลยค่อนข้างคานความรู้สึกกันอยู่เล็กน้่อย มันดูเรียบง่ายไปนิดสำหรับจำนวนเงินที่จ่ายไป

การใส่ก็สบายมากครับ เพราะใส่แล้วมันจะรับเข้ากับช่องว่างตรงช่วงก่อนถึงรูหูเราอย่างพอดิบพอดีเลยทีเดียว อีกอย่างจุกที่ทาง Westone ให้มา ก็เป็นจุกแบบนิ่มใส่สบาย ทำให้ใส่แล้วไม่เจ็บหูเลยครับ เรียกได้ว่า ในบรรดา IEM ทุกๆตัวนั้น ในเรื่องของความสบายในการใส่ UM2 นำมาเป็นอันดับหนึ่งเลยครับ









มาว่ากันที่เรื่องเสียง



ลักษณะของเสียงจะออกไปในแนวนุ่มนวลครับ แต่ถ้าเอาไปเทียบกับ Super.fi 5 pro จะรู้สึกเลยว่า UM2 ขุ่นลงไปในบัดดลเลยทีเดียว เสียงจะออกโปร่ง นุ่ม มีสูงให้ได้ยินอย่างชื่นใจ และกลางมีมวลที่ดี เบสแน่น และกลองเด่นชัด แต่ทั้งหมดจะออกขุ่นแบบน่าเสียดาย เพราะโทนของ UM2 จะเน้นให้ใกล้เคียงกับความเป็น Analog ให้มากที่สุด ดังนั้นเสียงจึงออกหวาน นุ่ม ขุ่น ใส ฟังเพลงแนว Classic สบายๆ Jazz พอได้ แต่ POP นี่จะขาดความบันเทิงไปเล็กน้อย

เสียงของ Vocal จะออกโทนหวานครับ หวานแบบบาดหัวใจเลยทีเดียวครับ ยิ่งได้ฟังเสียงนักร้องหญิงกับเพลง Balladจะพบว่า มันหวานเสียจนอยากจะหาอิซูลินมาฉีดเพื่อลดค่าน้ำตาลในเส้นเลือดเลยทีเดียว แถมยังให้มวลเสียงร้องที่ดี ไม่หนามากไป ไม่น้อยเกินไป มีการ Focus เสียงร้องที่ชัดเจน และมีระดับ image ที่อยู่ในขนาดกำลังพอเหมาะ ไม่ได้เล็กเหมือน ER4P หรือใหญ่โตแบบ E5C


ตัวเบสเองก็ค่อนข้างเด่นครับ เพราะให้เบสที่ครบทุกย่าน มี impact ของเบสที่อยู่ในระดับดีมาก แต่ impact ก็ไม่ได้กระแทกกระทั้นรุนแรง เป็นเบสที่ออกนุ่มนวลกว่ายี่ห้ออื่นๆ แถมยังให้ Middle เบสที่ดี อีกด้วย แต่ middle ก็ยังสู้ทั้ง E5C และ Triple.fi 10 pro ไม่ได้ครับ ข้อดีคือเบสโดยรวมจะออกแนวนุ่มๆ และมี Signature ที่ไม่เหมือนใคร ถึงแม้จะทำให้นุ่มได้ไม่เท่าระดับที่ลำโพงบ้านทำได้ แต่ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับที่ IEM จะทำได้เลยทีเดียวครับ

เสียงกลองของ UM2 ค่อนข้างเป็นจุดเด่นเลยทีเดียว การหวดกลองแต่ละครั้งให้ความรู้สึกที่แน่น และมีพลัง แม้จะมีอารมณ์ของความขุ่นในเนื้อเสียงมาเจือปน แต่ไม่ได้ทำให้อรรถรสของเสียงกลองลดลงไปแต่อย่างใด การถ่ายทอดเสียงกลองแต่ละย่าน ไล่จาก สแนร์ ไปยังทอมแต่ละลูก ก่อนจะปิดที่ Floor ทอม ก็ทำได้อย่างสมบูรณ์ชัดเจน จังหวะการเหยียบกระเดื่องและตีไล่ Step ของกลองแต่ละลูกแบบต่อเนื่อง ก็แยกแยะออกมาได้ชัด สามารถรับรู้ถึงจังหวะของเสียงในแต่ละตัวได้ ไม่มีอาการกลืนกันของแต่ละย่านให้หงุดหงิดใจ ถือเป็น IEM อีกตัวที่ถ่ายทอดเสียงกลองได้โดดเด่นมากๆ


ข้อเสียก็จะมีตรงพอฟังไปนานๆจะรู้สึกว่า เสียงมันขุ่นๆ มัวๆไปหน่อยครับ จนบางเพลงฟังแล้วรู้สึกไม่ค่อยเพราะ โดยเฉพาะเพลงแนวๆ R&B หรือเพลง JAZZ ที่ผมต้องการทั้งเบสและประกายเสียงเยอะๆ แต่ UM2 มันให้ได้ไม่เต็มที่ครับ ด้วยบุคลิกส่วนตัวของหูที่พยายามให้เสียงที่หวาน และนุ่มๆ ทำให้เสียงกลางมันออกมัวๆไปโดยปริยายครับ


สรุปแล้ว เป็นหูที่เหมาะสำหรับคนสูงวัย เอ้ย ไม่ใช่ เหมาะสำหรับคนที่ฟังเพลงในแนว Ballad , Soul , Blue ,และเหมาะกับคนที่ชอบสไตล์เสียงในแบบนี้ ใครต้องการเบสที่นุ่มนวลและความหวานของเสียงเพลง สามารถค้นพบได้จากหูตัวนี้ครับ ตอนนี้ UM2 ก็มี Housing แบบสีดำให้เลือกแล้ว อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบครับว่าชอบแบบไหน แต่โดยส่วนตัวผมชอบแบบใสมากกว่า เพราะมันดูสวยกว่าดำเยอะเลย










SPEC
====

WESTONE:

Specifications: Universal Fit Dual Driver Ear Monitor
Sensitivity: 119dB/mW
Frequency Response: 20Hz to 18kHz
Impedance: 27 ohms
Driver: Dual Balanced armatures with a passive crossover

8 ความคิดเห็น:

oat กล่าวว่า...

um2กับum3 ต่างกันมากรึเปล่าครับ

G7 กล่าวว่า...

ต่างกันเยอะครับ UM3X แยกชิ้นดนตรีดีกว่า soundstage ดีกว่า มิติดีกว่า และแหลมชัดกว่า แต่โดยรวมก็ขุ่นเหมือนกันครับ

นิกกี้เก้าเมตร กล่าวว่า...

55+ เหมือนผมเลยลอง ตอนแรกลอง Fi5 pro กับ um2 ซื้อ fi5pro มา ใช้ไม่ถึงเดือนคิดถึง เสียงum2ซะงั้นขายโลด ใช้จนพัง ตอนนี้เป็น um3x แล้ว ผมเอามาฟังกะmetal hardcore 55+ บางคนหาว่าบ้า หูแบบนี้เอามาฟัง metal ก้ตอบเค้าไปว่า หูผม นี่คือเสียงที่เพราะที่สุดสำหรับผม จะทำไมคร๊าบบบบบ

G7 กล่าวว่า...

ผมว่า UM3X ฟัง Metal ก็โอเคนะครับ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ชอบเพราะมันไปข่มเสียง Distortion ของกีต้าร์ทำให้ไม่แผดเท่าไหร่ แต่การแยกชิ้นดนตรีมันดีมาก ทำให้เสียงกลองมันเลยชัดมาก ปรกติผมชอบกลองเป็นหลักก็เลยจะชอบฟัง um3x กับพวกแนวร๊อคทั้งหลายนั่นเองครับ

Mama กล่าวว่า...

แล้ว westone 4r แนวเสียงเป็นอย่างไรบ่างครับ

G7 กล่าวว่า...

Westone 4R แนวเสียงคนละสไตล์กับ UM2 เลยครับ ตัว 4R จะให้เสียงที่สดกว่า ชัดกว่า และแยกชิ้นดนตรีได้ดีกว่าและชัดเจนกว่า มิติดีกว่า soundstage กว้างกว่า แต่เบสดูจะน้อยกว่า และมวลเสียงกลางบางกว่าครับ

aaaaaa กล่าวว่า...

เอามาฟัง rock pop นี้ต้องตัวไหน รุ่นไหนครับคุณ G7

G7 กล่าวว่า...

ถ้าทางสาย Westone ลองดู 4R หรือไม่ก็ UM3X ครับ แต่ 3X ต้องเบิร์นดีๆนะครับ ไม่งั้นมันจะขุ่น

แต่ถ้าไม่จำเป็นต้องเป็น Westone ลองไปทางสาย UE อย่าง Triple.fi 10 pro หรือไม่ก็ UE900 ก็ได้ครับ จะเหมาะกว่า