แต่มีเรื่องที่น่าแปลกใจอยู่อย่างคือ ส่วนใหญ่ที่เห็นใช้ๆกันนั้น ก็จะเป็นหูฟัง iPOD เหมือนๆกันหมด ทั้งๆที่เจ้้าตัวเองหยิบเครื่องออกมาจะเปลี่ยนเพลง ก็เป็น Nokia บ้าง Moto บ้าง พวกเครื่องเล่นจีนแดงบ้าง แต่กลับใช้หูฟัง iPOD กันได้ ซึ่งผมก็เชื่อเหลือเกินว่า ร้อยละ 90 ของคนที่ผมพูดมา ไม่ได้ซื้อของแท้มาใช้แน่นอนครับ เพราะของแท้ราคาศูนย์นี่แพงเอามากๆเลยทีเดียว ซื้อหูฟังยี่ห้ออื่นยังจะคุ้มกว่าและเสียงดีกว่าอีก แถมช่วงหลังๆก็ยังมีกระแสอันตรายจากหูฟังที่สื่อนำมาเสนอเป็นช่วงๆโดยขาดการไตร่ตรองหาข้อมูลที่แน่นอน ซึ่งก็มีทั้งการนำเสนออันตรายจากหูฟังแบบ In-ear และหูฟังประัเภทอื่นๆ ทำให้มีหลายๆคนเริ่มกลัวการที่จะใช้หูฟังในการฟังเพลง
ดังนั้นผมจึงอยากเสนอบทความนี้เพื่อให้เป็นตัวสร้างความเข้าใจให้มือใหม่ที่เพิ่งเริ่มเล่นหูฟัง และเพื่อเพิ่มเติมข้อมูลให้คนที่เริ่มเล่นไปซักพักด้วย เพราะผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มีใครในโลกรู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวผมเอง ดังนั้นการได้อ่านอะไรเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเข้าใจมันย่อมเป็นสิ่งที่ดีครับ ความรู้ไม่ทำให้ใครเสียหาย ยกเว้นว่าจะนำไปใช้ในทางที่ไม่ดีครับ
เอาล่ะมาเริ่มกันที่ละเรื่องก่อนนะครับ ก่อนอื่นผมขอปรับความเข้าใจทุกคนให้ตรงกันก่อนนะ สำหรับคนที่เคยอ่านๆแล้วก็ข้ามไปหัวข้ออื่นก็ได้นะครับ ให้คนใหม่ๆได้อ่านบ้าง
เริ่มต้นเลือกหูฟังยังไง และ เลือกตัวไหนดี ???
ก่อนอื่นเลย ผมอยากจะบอกว่า หูฟังแต่ละตัวไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกันเลยครับว่าอะไรดีกว่า เพราะว่าหูฟังแต่ละหูมันมีนิสัยของมันครับ ซึ่ง นิสัยนี้แหละมันจะเข้ากับตัวเจ้าของหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ฟังครับ แต่ละคนย่อมชอบอะไรที่ไม่เหมือนกันครับ ดังนั้นมันจึงเปรียบเทียบกับไม่ได้เลยว่าหูนี้ดีกว่าหูนั้น หูโน้นเสียงดีกว่าหูนี้
เมื่อใดที่สนใจหูแบบไหน ให้อ่านคร่าวๆครับ แล้วอ้างอิงกับความรู้สึกเราว่า เอ๊ะ! หูฟังเสียงลักษณะนี้มันเข้ากับสไตล์ของเราหรือไม่ ไม่ใช่ว่า เค้าบอกกันว่าเสียงดีปาวๆ ก็ไปเชื่อ แล้วก็แห่แหนกันไปซื้อเหมือนกันหมด สุดท้ายก็มาบ่นกันว่าเสียงไม่เห็นดีเลย... ก็มันจะไปดีได้ไงครับในเมื่อเราไม่ชอบ เหมือนของกินน่ะครับ
อย่าง เราชอบกินปลา แล้วก็บอกให้คนอื่นฟังว่าปลาอร่อยอย่างงั้นอย่างงี้ แต่คนอื่นเค้าก็อาจจะไม่ได้ชอบแบบเดียวกับเราก็ได้ครับ บางคนไม่ชอบเพราะมันคาว แต่ชอบกินเนื้อวัวมากกว่า ส่วนเราก็อาจจะไม่ชอบเนื้อวัวเพราะไม่ชอบกลิ่นของมันเช่นกัน ซึ่ง ต้องจำไว้ในใจอย่างนึงว่า ถ้ายังไม่ได้ลอง อย่าตัดสินใจซื้อครับ... ความชอบ และสไตล์ ไม่อาจวัดได้จากข้อความไม่กี่บรรทัดครับ
ระดับของหูฟังก็เช่นกันครับ การที่เค้าแบ่งระดับไว้แล้ว อย่าง Hi-End , Middle-End , Low-End สิ่งที่ได้มันก็ควรจะเป็นตามนั้นครับ อย่าง MX300 เสียงมันก็ทำได้เท่านั้นแหละครับ หรือ EP630 มันก็ทำได้เท่าที่ class มันเป็น การที่มีบางคนบอกว่าเสียงดีกว่า ER6i นั่นก็เพราะเค้าไม่ใช่คนที่ชอบฟังเพลงสไตล์ของหูฟังแนว flat แบบนั้นครับ ดังนั้น ให้ตั้งไว้ในใจว่าเราชอบเสียงแบบไหน อยากได้อะไร ฟังเพลงในแนวๆไหน จากนั้นให้หารายละเอียดแล้วอ่านดูว่า หูไหนที่ตรงใจเราที่สุด ก็ให้เลือกเอาหูนั้นเป็นที่ตั้งครับ จากนั้นก็ให้ไปลองฟังดูว่าถูกใจไม๊ พยายามพกเพลงไป test ในแนวที่เราชอบด้วย แล้วเราก็จะได้หูที่ถูกใจเราที่สุดครับ
กรณีที่หูบางอันไม่สามารถลองได้ ก็ต้องพยายามอ่านให้เยอะๆแล้วเทียบ spec กับความต้องการเราน่ะครับอย่าเสี่ยงวัดดวงซื้อ ไม่งั้นจะเศร้าเหมือนกับหลายๆคนที่ได้หูถูกใจในกระทู้ แต่ไม่ถูกใจตัวเองครับ จำไว้ครับไม่มีหูใดดีกว่าหูใด ( ในกรณีเทียบชั้นใน class เดียวกัน ) มีแต่ตรงใจกับไม่ตรงใจเท่านั้นครับ
ผมมือใหม่และยังงงๆ เพราะไม่รู้จะเลืิอกหูฟังแบบไหนดี ???
มีกรณีนึงที่ผมจะเจอบ่อยมากคือ มีคนสนใจอยากลองเล่นหูฟัง และอยากรู้ว่าแต่ละตัวมันแตกต่างกันยังไงแบบไหน แต่เจ้าตัวก็มักจะพูดประโยคนึงเหมือนๆกันเสมอว่า
" หูฟังทุกตัวไม่ได้ให้เสียงเหมือนกันเหรอ...."
แน่นอน มือใหม่ส่วนใหญ่ย่อมเข้าใจกันว่า ของที่แพงกว่าก็คือของที่ทนกว่าของถูกเท่านั้น ยิ่งแพงก็ยิ่งทนว่างั้น และมันก็เคยเป็นความเชื่อสมัยผมยังเด็กๆที่ยังไม่เิริ่มเล่นหูฟังเท่าไหร่ ผมจำได้ว่า ในเวลานั้นผมยังหาหูฟังแบบ 3 อันร้อยใช้อยู่ด้วยซ้ำ และก็เข้าใจว่าหูฟังอย่าง Sony , Panasonic ที่ขึ้นแผงขายกันนั้น มันต้องทนกว่าตัวที่ผมใช้แน่นอน เพราะอันที่ผมซื้อ ใช้ซักพักไม่ถึงเดือนสายก็ขาดในแล้ว แต่ครั้นจะเก็บเงินซื้อของแพงก็ดูลงทุนโดยใช่เหตุ เพราะผมไม่เห็นว่าจะมีผลประโยชน์อันใดที่จะจ่ายแพงขึ้น ทั้งๆที่ได้แค่ความทนทานเพิ่มมาแทน สู้ผมซื้อ 3 อันร้อยสับเปลี่ยนใช้จะสะดวกกว่าเยอะ
กว่าผมจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็ใช้ระยะเวลานานพอสมควร เพราะในยุคผม ข้อมูลข่าวสารแทบจะหาได้ยากมาก ลำพังหนังสือเกี่ยวกับเครื่องเสียงก็มีไม่กี่ปก และถึงมีก็หาซื้อยาก และถึงหาซื้อได้ก็อ่านไม่รู้เรื่อง เพราะไม่เคยมีพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องเสียงมาก่อน ไม่เหมือนยุคนี้ที่เป็นยุค IG(Information Globolization) ที่ข้อมูลข่าวสารมีให้ค้นหาได้ทุกที่ ถ้ากระแส Internet มาบูมในยุคที่ผมยังเด็ก ผมก็คงจะมีความรู้เิ่พิ่มเติมมาให้ทุกคนได้ดียิ่งกว่าทุกวันนี้อีกครับ
ทีนี้คำถามที่ผมเจอต่อมาคือ ....
แล้วจะเริ่มต้นฟังตัวไหนดี ???...
เลือกยังไงดี ??
ใช้หูฟังประเภทไหน??
ซึ่งผมก็มักจะถามกลับไปเสมอว่า " แล้วมีงบเท่าไหร่ละ..."
แน่นอน ถ้ายิงคำถามแบบนี้ใส่มือใหม่ ก็ต้องได้คำตอบกลับมาว่า
" ก็เอาถูกๆแล้วกัน..."
เป็นคำตอบที่ร้อยละ 90 จะพูดมาแบบนี้ เหตุผลเพราะ มือใหม่จะไม่รู้ว่าควรลงทุนไปกับหูฟังในระดับไหน เนื่องจากยังไม่มีฐานเบื้องต้นว่า ค่าความพอใจที่จะได้รับจากหูฟังมันควรไปหยุดที่มูลค่าระดับใด บางคนเลยอยากได้หูฟังเริ่มต้นที่เสียงดีที่สุด แต่ราคาไม่แพง เพราะถ้าไม่ชอบจะได้ไม่เจ็บตัวมาก พูดง่ายๆคือยังกลัวๆอยู่นั่นเอง แต่ถ้าถามผมว่าของถูกแล้วดีมีไม๊ ผมก็ต้องบอกว่ามันมีครับ แต่ มันก็จะย้่อนไปอีกคำถามว่า
" ถ้ามันถูกแล้วดี แต่ไม่ถูกใจคุณละ จะทำยังไง ??"
ดังนั้นจุดสำคัญก่อนจะซื้อไม่ว่าจะยังไง เราก็ควรจะลองด้วยตัวเองก่อน เพียงแต่การถามผู้ที่รู้จะช่วยย่อยให้หูฟังที่เราเล็งที่จะลองมันลดน้อยเหลือแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ถ้าให้ลองทุกตัวก็คงจะมึนกันไปข้างแหละครับ ฟังต่อเนื่องเยอะๆหลายๆตัวในวันเดียวกัน บางทีมันก็จะมีอาการเมา Signature ของหูฟังกันบ้าง ผมเองก็ยังเคยเป็นอาการแบบที่ว่าเหมือนกัน ดังนั้นก่อนจะซื้อหูฟังใดๆ เราควรจะมาทำความเข้าใจที่ตัวเราก่อนแล้วกันน่ะครับ
เริ่มต้นเลือกหูฟังอย่างไรดี????
ผมเคยเจอมือใหม่ที่งงๆกับตัวเองนิดหน่อย คือ ไม่รู้ว่าตัวเองชอบฟังเพลงแนวไหน ไม่รู้ว่าชอบเบส ชอบเสียงสูง หรือชอบเสียงกลาง และก็ไม่รู้ว่าจะใช้งาน earbud , in-ear หรือ full-size ดี เพราะไม่เคยใช้เพื่อเปรียบเทียบกันมาก่อน ซึ่งเรื่องนี้ผมว่าไม่ผิดนะครับ เพราะบางคนก็ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ จะเห็นได้ว่ามีหลายๆคนที่ใครบอกอันไหนดีก็พากันซื้ออันนั้นหมด ทั้งๆที่ตัวเองอาจจะไม่ได้กำลังชอบก็ได้ แต่ก็ใช้เพราะใครๆเค้าก็ว่าดีกัน
ดังนั้นสิ่งแรกที่ควรจะดูก่อนเลือกหูฟังทุกครั้งคือ
1. งบประมาณในการซื้อ
แน่นอนครับ เงินคือสิ่งสำคัญในการเลือก และถือเป็นอันดับแรกก่อนจะลงมือซื้อหูฟังเลยทีเดียว ยิ่งมือใหม่ที่ไม่รู้ตัวเองว่าชอบเสียงแบบไหน ชอบอะไรยังไง ก็ควรจะมองเงินในกระเป๋าเราไว้ก่อนเป็นหลัก การเลือกซื้อของถูกๆไม่ใช่สิ่งที่ผิดหรือไม่ดี เพราะการได้ของดีๆในราคาถูกนั้น นอกจากจะคุ้มแล้ว จะทำให้เราเข้าใจเหตุผลด้วยว่า ทำไมของที่ดีราคาถึงแพง และข้อแตกต่างมันอยู่ที่ตรงไหนบ้างนั่นเอง
การซื้อหูฟังมาฟังเพลงซักตัวนึง ก็อย่าให้ต้องลำบากขนาดไปหยิบยืมใครมาซื้อเลยนะครับ เพราะมันจะทำให้เรากลายเป็นคนฟังเพลงแล้วมีทุกข์มากกว่าจะมีความสุขครับ
2. ความเหมาะสมในการใช้่งาน
ความเหมาะสมในที่นี้หมายถึง เรา ใช้หูฟังที่ไหนบอกกว่ากัน เช่น ออกจากบ้านบ่อยๆ ฟังเพลงนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ หรือ อยู่ในที่ที่เสียงดังมากๆ หรือ อยู่ฟังเพลงที่บ้านมากกว่า ซึ่งการเลือกแบบนี้ก็จะช่วยตัดตัวเลือกในส่วนของรูปแบบหูฟังออกไปได้เป็นส่วนใหญ่ อย่างเช่น ถ้าเราอยู่บ้านมากกว่า ก็ควรเลือกหูฟังที่เป็นแบบ Full-size ใส่สบายๆ ให้่ image ที่ใหญ่ครบถ้วน แต่ถ้าออกนอกบ้านเป็นส่วนใหญ่ ก็เลือกเป็นแบบ Earbud หรือ In-ear ก็ได้ ตามแต่สถานการณ์ แต่ดูจากปัจจุบัน ผมว่า In-ear น่าสนใจกว่าเยอะครับ เพราะนอกจากจะกันเสียงแล้ว ยังป้องกันไม่ให้เสียงไปกวนคนรอบข้างด้วยครับ ส่วนเรื่อง in-ear อันตรายหรือไม่ยังไง เดี๋ยวค่อยไปว่ากันอีกทีในช่วงเกี่ยวกับรายละเอียดหูฟังแต่ละปรเภทนะครับ ก็คงจะอยู่แยกไปอีกบทความนึง ถ้าลงในนี้หมดคนไม่อ่านแน่นอน เพราะมันจะเยอะจัด
ทีนี้พอเราตั้งต้นได้แล้ว เราก็มาเริ่มดูตัวเองต่อว่า เราเป็นคนชอบเสียงแนวๆไหนมากกว่า เอาง่ายๆ ให้ลองหาเพลงที่ชอบแล้วเอาไปลองกับหูฟังตัวนั้นๆดู ลอง test ดูว่า อารมณ์ของเพลงได้ตามที่เราต้องการหรือเปล่า มีอะไรขาดเหลือไปไม๊ เช่น เบสน้อยไป เสียงสูงขาดไป อะไรทำนองนี้ แล้วค่อยมาค้นหาหูฟังที่เราต้องการทีหลัง ก็จะทำให้เราช่วยเลือกหูฟังมาใช้ได้ง่ายมากขึ้น
แล้วหูฟังที่จะเรียกได้ว่าดี ควรเป็นอย่างไร ????
หลายๆคนก็พากันสงสัยว่า แล้วแบบไหนเราถึงจะเรียกได้ว่า มันเป็นหูฟังที่ดี ถามแต่ละคน ก็พูดไม่เหมือนกันซักคน บ้างก็ว่ายี่ห้อนั้นรุ่นนั้นดี เบสตรึมเสียงเร้าอารมณ์ อีกคนก็บอกว่า รุ่นนั้นยี่ห้อนี้ดีกว่า เสียงใสโล่งโปร่งสบาย ..ทำให้คนเล่นใหม่ๆ บางคนถึงกับมึน ไม่รู้จะเชื่อใครดี ดังนั้นเรามาดูกันก่อนว่า หูฟังที่เข้าลักษณะแบบใด ถึงจะเรียกว่าหูฟังที่ดี
ลักษณะหูฟังที่เีรียกว่าดีได้ต้่อง...
- ให้เสียงครบทุกย่าน
การให้เสียงครบทุกย่านคือ ต้องมีเสียงสูง กลางและต่ำที่ครบถ้วนชัดเจน และมี balance ที่ดี ไม่ใช่เสียงย่านใดย่านนึงเด่นนำ หรือ ด้านในด้านนึงห้วนหายไปแบบนั้นเรียกยังไม่ดีครับ เพียงแต่อาจจะถูกใจคนบางคนและ match กับบางเพลงเ่ท่านั้นเอง แต่มันก็ขาดธรรมชาติของดนตรีที่แท้จริง เพราะดนตรีต้องมีครบทุกย่านเสียงครับ
ดังนั้นหูฟังที่เบสเยอะๆ ไม่ได้แปลว่า หูฟังตัวนั้นเสียงดีครับ เบสยิ่งเยอะ มันก็ยิ่งกวนย่านอื่นครับ
- ให้ Dynamic ที่ดี
Dynamic ถ้าจะพูดกันสั้นๆ มันก็คือ "เสียง" เพียงแต่คำว่า Dynamic มันต่างกับ คำว่า sound ตรงที่ Dynamic จะพูดถึงรูปลักษณ์ในการแสดงออกเป็นภาพพจน์(image)ของเสียง ( งงไม๊ครับ ) แต่ส่วนใหญ่เรื่อง Dynamic นี่ มันมีผลจาก system เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะ Dynamic มักจะตอบสนองต่อกำลังขับ ถ้า System มีกำลังขับที่ดี ก็จะให้ Dynamic ที่ดีตามไปด้วย สังเกตง่ายๆ อันไหน Dynamic ดี ก็จะมีรูปร่าง
ของมวลเสียงที่ดี เป็น Shape ที่สมบูรณ์ ไม่มีขอบเสียงไปกวนย่านอื่นๆ ราวๆนั้น
ทีนี้หูฟังบางตัวเนี่ย ไม่สามารถถ่ายทอด Dynamic ออกมาได้ ส่วนนึงก็มาจากวัสดุที่นำมาใช้ทำ Driver ไม่ดีพอ และยังสายที่อั้นกำลังไม่ให้ถ่ายทอดสัญญานไฟฟ้าได้เต็มๆ ทำให้หูฟังตัวนั้นมี Dynamic ที่ไม่ดี เอาไปต่อกับ System อะไรก็ไม่เข้าท่า ดังนั้นการเลือกหูฟัง จุดนี้ก็สำคัญครับ แต่อาการพวกนี้มักไม่ค่อยเกิดกับหูฟังแพงๆเท่าไหร่นัก
- มีการ Focus ที่ดี
แล้ว Focus มันคืออะไร..??? Focus ก็คือจุดรวมที่ก่อให้เกิดผลภาพที่ชัดเจนที่สุด มันก็เหมือน Focus ของกล้องถ่ายรูปแหละครับ ที่ต้องปรับให้มันชัดก่อนจะถ่าย หลายคน อาจจะสงสัยว่า หูฟังมันจะมี Focus ไปทำไม สำคัญขนาดไหน...
จริงๆเรื่องการ Focus ผมค่อนข้างให้ความสำคัญในอันดับต้นๆเลยนะครับ เพราะหูฟังที่ดีจริงๆ ต้อง Focus เสียงดีด้วย อย่าลืมว่า เพลงที่เราฟังเป็นระบบ Stereo ไม่ได้เป็นระบบ Mono และการจะทำให้เกิดเสียงที่เป็น Stereo เป็นมิติได้นั้น ก็ต้องรวมเอา เสียงจากลำโพงซ้าย และลำโพงขวาเข้ามาชนกันที่จุดกึ่งกลางซึ่งก็จะได้เสียงแบบ Stereo นั่นเอง ลองนึกภาพว่า ถ้ามันไม่สามารถ Focus ได้ดี มันจะเป็นยังไง...
แน่นอน เสียงต้องเบลอ ขุ่น ฟังแล้วมึนงง บ้างก็จะกลวงบาง แบน โหรง เพราะไม่สามารถ Focus ให้ image อยู่ในระดับที่พอดิบพอดีได้ สังเกตง่ายๆ หูฟังที่ Focus ดีๆบางทีไม่มีมวล แต่กลับรู้สึกว่ามันชัด รู้สึกมีเนื้อๆเน้นๆ ทั้งๆที่ปราศจากมวลมาห่อหุ้ม
ดังนั้นสิ่งแรกที่จะบอกได้ว่ามันดีจริงๆหรือเปล่า ก็ต้องดูที่การ Focus นี่แหละครับ
- มีการรับประกันที่ดี
หูฟังที่ไม่มีการรับประกัน จะซื้อทำไมจริงไม๊ครับ ของดีจริงต้องกล้ารับประกัน เพราะถ้าใช้ไปแล้วเกิดสายขาดใน หรือหูฟังมีปัญหา เราก็จะได้อุ่นใจที่สามารถนำไปเคลมได้ ซึ่ง ส่วนใหญ่หูฟังที่ดีๆ มักจะมีการรับประกันอยู่แล้วครับ แต่เรื่องระยะเวลาก็ว่ากันไป หลักๆจะอยู่ที่ราวๆ 1 ปีครับ ซึ่งก็มีการรับประกันที่ไม่เหมือนกันด้วย บางที่ก็รับประกันทุกส่วน เปลี่ยนใหม่ได้หมด แต่บางที่ก็รับประกันบางส่วน ถ้าเคลมต้องรอซ่อมอะไรทำนองนี้ ตรงจุดนี้ก็แล้วแต่ครับ นโยบายบริษัทมาแบบนั้น ก็ว่าๆกันไป แต่ขอแค่มีประกันก็โอเคแล้วครับ
ในกรณีที่ประกันร้าน ไม่ได้เป็นประกันจากบริษัทตัวแทนจำหน่าย ก็เลือกร้านที่ดูดีและน่าเชื่อถือหน่อยก็จะดีครับ เพราะอย่างน้อยร้านที่น่าเชื่อถือ ก็ดูแลเรื่องการเคลมหูฟังให้เราได้ครับ
จำไว้เสมอครับว่า หูฟังทุกตัวให้เสียงไม่เหมือนกัน แม้ใช้ Driver เดียวกัน แต่เพียงแค่เปลี่ยนสาย หรือระยะห่างของ driver กับหูเราห่างกันมากขึ้น ก็จะทำให้เสียงเปลี่ยนไปได้ในทันที และหูฟังแพงๆก็มีเหตุผลของความแพงเช่นกันครับ ทั้งราคาวัสดุ การออกแบบและหลายๆอย่าง แต่ก็ไม่ได้แปลว่า หูฟังแพงๆจะให้เสียงที่ดีหมดทุกตัว หูฟังที่ราคาสูงบางตัวแต่ให้เสียงที่ไม่ค่อยเข้าท่าก็มี ของพวกนี้อยู่ที่ Audiologist และ Engineerที่เป็นผู้ปรุงแต่งและออกแบบครับว่า จะทำออกมาได้แบบใด แต่ส่วนใหญ่แต่ละบริษัทก็มักจะจูนให้มีบุคลิกเป็นไปในตามที่บริษัทต้องการ ดังนั้น บุคลิกของหูฟังใน line ของบริษัทส่วนใหญ่ จึงมักจะมี Signature เฉพาะที่ทำให้หูฟังใน series เดียวกัน มี Signature ไปในทิศทางเดียวกันได้ ทำให้คนที่เล่นหูฟังเวลาต้องการอยากได้บุคลิกแบบนี้แต่เสียงดีกว่าเดิม ก็ยอมที่จะจ่ายแพงกว่าเพื่อไปเล่นรุ่นที่สูงกว่าครับ
อ่านจบหมดแล้วก็น่าจะได้ไอเดียและความเข้าใจขั้นต้นในการเลือกหูฟังนะครับ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทหูฟังต่างๆก็ต้่องไปอ่านกันงวดหน้าครับ
5 ความคิดเห็น:
บทความก็ดีนะ แต่ฝากไว้ว่าการเขียนข้อความให้คนกดโฆษณานะ มันผิดกฎ adsense เขานะ โดนแบนจะเสียเวลาทำเปล่าๆ เอาออกซะ
ผมมีคำถามรบกวนครับ ผมไม่มีความรู้เรื่องหูฟังเลยครับ ตั้งแต่ใช้ติดตัวมาก็ใช้ Sennheiser PX10 มาตลอดตั้งแต่ราคาพันห้า จนเหลือเจ็ดร้อยบาท
เนื่องจากฟังแล้วโปร่งสบาย ได้เสียงที่ดูกว้างๆไม่อึดอัดในหัว ผมไม่ชอบเสียงหนักๆครับ ฟังอยู่รุ่นเดียวจนติดหูไปแล้วครับ
แต่ว่ามันก็พังอยู่บ่อยๆ หักบ้าง สายแจ๊คเสียบขาดบ้าง ทำให้ต้องซื้อใหม่ แล้วก็หาซื้อ"ยากมาก"ขึ้นทุกที อันล่าสุดได้พังไปเรียบร้อยแล้วครับ
ระหว่างที่หาซื้อใหม่ ผมก็ไปซื้อipod touch ซึ่งมาพร้อมกับหูฟังของมัน
แต่ผมทนเสียงมันไม่ได้เลย เสียงมันแหลมกระแทกแก้วหู ผมก็ไม่รู้เรียกยังไงนะครับ แต่เสียงมันแสบแก้วหู ฟังแล้วรำคาญ ฟังเพลินๆแล้วตกใจได้เรื่อยๆ เดี๋ยวๆก็มีเสียงบางเสียงดังออกมามากเกินไป
แถมใส่แล้วก็หลุดจากหูเป็นประจำ เรียกว่าเอนลงนอนฟังไม่ได้เลย
จึงอยากจะรบกวนว่า ผมควรจะหาซื้อ PX10 ต่อไปหรือมีรุ่นไหนที่แนะนำ ที่ได้เสียงฟังสบายๆเหมือนกันไหมครับ
px10 เนี่ยมันก็เป็นรุ่นเก่ามากๆ (ผมก็ประหลาด ใช้อยู่ได้รุ่นนี้)
ผมเลยคิดว่าน่าจะมีรุ่นใหม่ของ Sennheiser ที่ทำออกมาในลักษณะให้เสียงแบบเดียวกัน ผมตามอ่านบล๊อคคุณมาหลายวันแล้วครับ คุณเป็นคนเก่งมากที่สามารถแยกแยะเสียงต่างๆได้ ผมเลยอยากจะให้ช่วยแนะนำ ว่าผมควรจะซื้อรุ่นไหนมาฟังดี และซื้อได้ที่ไหน ผมไปยืนส่องๆดูมาหลายที่ แม้แต่ยี่ห้อเดิม ผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าซื้อมาแบบหลับหูหลับตา อาจจะได้แบบที่ฟังแล้วปวดหัวไม่เข้ากับผม
แต่ถ้าจนใจจริงๆ ผมคงต้องหาซื้อ PX10 มาใช้อีก
ถ้าว่างมีโอกาส ช่วยตอบคำถามหน่อยนะครับ จะทางนี้ หรือทางอีเมล เอ็มเอสเอ็นทางไหนก็ได้ครับ ผมจะกลับมาอ่าน
ระหว่างนี้ผมจะทนฟังกับหูฟังไอพ๊อดไปก่อนครับ
ขอบคุณมากๆครับ
ZEN
possiblezen@hotmail.com
งั้นผมก็พอใจกับ Creative EP630 กับ Soken AS800 ครับ
ขอถามหน่อยนะครับ ผมอยากได้ หูฟังFull-Size ผมเป็นคนชอบเสียงกลางมีไดนา่มิก เวลาฟังเพลงพวก คลาสสิก เสียงครบ แล้วอยากได้ออกแหลมนิดหน่อย ส่วนเบสขอบแคบๆ ไม่ค่อยกะแทกเเบบพวกอิมแพก อะครับ พอมีรุ้นไหนแนะนำรึเปล่าครับ
ถ้าให้ผมเลือก ผมคงแนะนำ
Sennheiser HD650 ไม่ก็ AKG K701 ครับ
ถ้าไม่ชอบเบส K701 น่าจะโดนใจกว่า แต่ HD650 ก็ไม่ได้ให้เบสกระแทกจนเกินความไพเราะ และได้ mid เบส ที่ดีกว่า K701 ด้วยครับ เวลาฟัง Classic ก็จะได้รายละเอียดของ Double Bass ที่ชัดเจนกว่า
แต่คู่นี้จะแตกต่างกันตรงเวลาฟังกับ K701 ให้รู้สึกฟังกับ Hall ที่โอ่โถง แต่ HD650 จะให้ความรู้สึกเหมือนนั่งฟังในห้องส่วนตัวมากกว่าครับ
แสดงความคิดเห็น