Crossroad Mylarone X3
สำหรับตัว Mylar3 ที่ผมได้มานี่ จริงๆได้มาซักพักแล้วครับ แต่อยู่ในภาวะของการ burn และภาวะแห่งความขี้เกียจเลยไม่ได้ review ซักกะทีทั้งๆที่ตั้งใจจะ review อยู่หลายวันแล้ว โชคดีวันนี้ได้โอกาสก็เลยจัดให้ซักหน่อย
ชื่อเต็มๆของ Mylar3 ก็คือ Crossroad Mylarone X3 ครับ ส่วน X2 นี่เป็นไงไม่รู้ รู้แค่ว่าเคยฟัง X1 เมื่อนานมาแล้วที่ร้าน Zeazonmall ตอนนั้นจำได้แค่ว่า soundstage แคบ มิติเสียงกลางไม่ลึก แต่เบสดี ช่วงนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรมันมากมายเพราะว่าผมมี E500 อยู่ในมือ เลยมองข้ามตัวนี้ไป อีกอย่างวันนั้นรู้สึกจะลองของแรงหลายตัวอยู่ เลยไม่ได้ฟังแบบจับรายละเอียดอะไรมากมาย เผอิญว่าอยู่ๆใน Head-Fi ก็เริ่มพูดถึงตัว X3 กันบ้าง ( หลังจากพูดถึงตัว 1 เมื่อชาติเศษๆ ) แล้วก็มีฝรั่งบ้าเห่อออกมาชื่นชมกันว่ามันใกล้เคียง Super.fi 5 pro ทีเดียว ผมอ่านแล้วเกิดความสนใจทันที หูฟัง dynamic อะไรให้เสียงได้เท่า B-Armature แถมราคาห่างกันคนละขั้ว เลยตัดสินใจซื้อมาลองทันที
หลังจากเก็บรายละเอียดที่เค้าบอกๆกันมาใน head-fi และจากคุณ pedped ผมก็รีบไปลองฟังถึงร้านโดยทะลึ่งประกาศล่วงหน้าเลยว่า เอาแน่ Mylar3 แล้วก็หยิบเอามาลอง test เสียงก่อนว่าเป็นไงบ้าง ปรากฏว่า ฟังครั้งแรกก็โดนแล้วครับ.. โดนเอาไปปาทิ้งแน่นอน!! หูฟังบ้าอะไรเสียงทั้งแห้งทั้งบาง โอเค มันใสมันโปร่งไม่เถียง แต่คุณพี่จะแห้งไปไหน ผมพยายามควานหาเบสอยู่ แต่ไม่เจอซักกะแปะเดียว ก็เลยค่อนข้างงงว่า คนใน Head-Fi หรือผมกันแน่ที่หูมีปัญหา แต่คุณ pedped เองแกก็บอกว่าเบสดี ทว่าที่ผมฟังมันไม่มีเลยคำว่าเบส ตอนแรกก็คิดในใจว่าจะเอาดีไม๊ว้า.... แต่ดันบอกไปแล้วว่าจะเอาก็เลย... เอาก็เอาแล้วก็ตัดสินใจจ่ายตังค์เพื่อกลับบ้านมา test
การทดลองขั้นแรก ผมลองเปลี่ยนยางทุกขนาดก่อน เพราะผมจำได้ว่า เคยใส่ E5 ไม่แน่นแล้วเสียงมันก็ออกแห้งๆเหมือนกันเลยคิดว่าอาจจะเพราะยางมันไม่กระชับ กับรูหูผมเลยทำให้มันได้เสียงแบบนั้น ผมเลยเปลี่ยนเอายางที่ไซส์ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ปรากฏว่า เหมือนเดิมเด๊ะ.. ก็เลยลองเอายางไซส์เล็กกว่าเดิมมาเปลี่ยน ก็ยังคงเหมือนเดิม.. ผมเลยกลุ้มใจไม่รู้ทำไง หนแรกกะว่าจะลอง burn เผื่ออะไรดีขึ้น แต่ในใจผมก็รู้ว่าการ burn มันเปลี่ยนบุคลิกหูฟังไม่ได้อยู่ดี ก็เลยรู้สึกโกรธ เผอิญว่า Triple.fi ผมวางอยู่ตรงหน้า ผมเลยแกะเอายางของมันออกมาแล้วเปลี่ยนใส่เข้าไปให้ Mylar3 ปรากฏว่าดันใส่ได้อีก ถึงมันจะไม่ลงตัวแบบยางที่แถมมา แต่มันก็ใส่ได้พอดีเป๊ะ..! แล้วก็ลองเอามาฟังอีกที ปรากฏว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเปลี่ยนไปเลยครับ บุคลิกที่แท้จริงมันออกมาทันที..
สิ่งแรกที่สัมผัสได้จาก Mylar3 คือพลังของเบส ที่ให้เบสที่แน่น มีคุณภาพ ไม่บวม มี impact ที่ดี ที่สำคัญมันมีครบทั้ง Upper Middle และ Deep เบส..!! เสียงตรงช่วง Middle ไปถึง Deep มันบางไปหน่อย แต่ผมว่ามันเจ๋ง เพราะเท่าที่ฟังมาในหูฟังระดับราคาเท่านี้ยังไม่เจอ In-ear ตัวไหนให้เบสแบบนี้ได้ เป็นเบสสไตล์คล้ายๆ Super.fi 5 pro เลยครับ ( จริงๆผมว่าคล้าย Triple.fi กว่านะ ) แต่พวก Super.fi กับ Triple.fi เบสจะติดปลายคมนิดๆของ Tweeter เลยจะค่อนข้างต่างกันตรงจุดนี้ ทว่าการจะคุมเบสให้นิ่งนั้นจำเป็นต้องเปิดดังนิดนึงครับ อีกอย่างหูฟังตัวนี้ค่อนข้างกินกำลังขับพอสมควร ถ้า Player ดีๆให้กำลังขับสูงๆและให้ Dynamic ดีๆ เบสจะออกมาได้ดีทีเดียวครับ ผมลองเปิดให้เสียงมันเบาลงมาหน่อย ปรากฏว่าปลายเบสเกิดอาการสั่นนิดๆ และความแน่นของเบสก็ลดลงด้วย ดังนั้นการฟังให้ได้คุณภาพเต็มๆอาจจะจำเป็นต้องค้านความรู้สึกนิดนึงสำหรับ บางคนที่ดูเลข Volume เป็นหลักนะครับ
เสียงกลางของ Mylar3 ถือว่าทำได้ดีมากทีเดียว โดยเฉพาะเสียงกลองที่แน่น ส่วนตัวผมจะชอบกลองในแบบ Super.fi มากกว่าที่ให้น้ำหนักกำลังดี อันนี้เล่นอัดกลองซะแรงทีเดียว นิสัยคล้ายๆ Hd650 เลยครับที่เน้นการอัดกลองหนักๆ แต่พวกแฉ ผมว่ายังกังวาลสู้ Super.fi ไม่ได้ครับ อย่างน้อยๆตัวนี้มันก็แค่ Single Dynamic ถ้าจูนให้มันใสมากๆก็จะไปเหมือน PK2 ที่เสียงจะออกหยาบๆหน่อย แต่ให้ Detail ที่ดีและเบสลดลง
เสียง Vocal ก็ทำได้อิ่มและแน่น ขนาดของ Vocal จะค่อนข้างเล็กกว่าครับ เพราะโดยปรกติเสียงร้องของ Super.fi 5 pro จะค่อนข้างแผ่กว้างอยู่แล้ว ตัวนี้จะเหมือนเอา Vocal ของ Super.fi มาบีบให้ image มาหดลงมา ผมว่าไปๆมาๆเสียง Vocal มันจะออกไปทาง Shure นะครับ แต่ไม่อมเท่าทาง Shure แค่นั้นเอง ถือว่าให้ image เสียงกลางทีดีทีเดียว
พวกเสียงสูงๆถือว่าทำได้เกือบดีครับ ผมรู้สึกว่าโดยรวมเสียงมันจะออกกลางๆไปหน่อย เพราะปลายสูงมันก็ไม่ได้ลากขึ้นไปจนสุด และ Detail ก็ไม่ได้เยอะ เหมือน Triple.fi เสียงก็ไม่ออกคมด้วยครับ เวลาที่เคาะแฉจะรู้สึกได้เลยว่าน้ำเสียงไม่ค่อยกังวานและเปิดเหมือน Triple.fi 10
พวกไลน์กีต้าร์ก็ให้เสียงได้ดีครับ ยิ่งเพลงที่อัดเสียงกีต้าร์มาดีๆจะรับความรู้สึกของการลงน้ำหนักในแต่ละเส้น ได้ดีทีเดียว ตรงจุดนี้สำคัญทีเดียวครับ ถ้าเกิดใช้ยางที่ไม่ Match กับหูฟังและหูเรา เสียงกีต้าร์มันจะออกพร่าๆนิดๆ มันจะไม่นิ่งคมชัดและได้ยิน Dynamic ชัดเจนครับ
การแยกชิ้นดนตรีไม่ต้องห่วงครับ ทำได้ดีทีเดียว ถึงแม้มิติเสียงกลางจะไม่ดีนึก ไม่ค่อยลึกเท่าไหร่ เพราะลักษณะ Soundstage ไปออกทางสไตล์ Super.fi 5 Pro แต่จะออกแคบกว่าหน่อย แต่ก็ไม่มีการซ้อนทับของเสียงดนตรีเลยซักย่าน แม้แต่เบสก็ยังไม่กวนเลยครับ จะมีข้อติดนิดนึงตรงช่วงที่ลึกเข้าไปย่านมิติเสียงกลางที่ยิ่งไกลก็ยิ่งบาง แทนที่จะยังนิ่งชัดเหมือน Super.fi 5 pro... ช่วงตำแหน่งซ้ายขวาไม่ค่อยมีปัญหา จะมีปัญหาช่วงตรงกลางของมิติเสียงกลางนี่แหละครับ ที่แก Focus ส่วนลึกแปลกๆไปหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ไปจับผิดอะไรมากๆตรงนี้ก็ไม่เชิงเป็นจุดสำคัญนัก เพราะการที่มันออกมาบางเล็กๆมันก็ทำให้ดูว่ามีมิติมากขึ้นไปอีกครับ
โดยรวมถือว่าเป็นหูฟัง In-ear ที่คุ้มค่ามากๆครับ ถึงแม้ว่า Isolation อาจจะไม่ดีนักเพราะเท่าที่ผมลอง test ดูทั้งยางซีลีโคนและจุกโฟม ผมว่ายางซีลีโคนให้เสียงที่ลงตัวที่สุดครับ มันฟังแล้วไม่อับด้วย แถมให้ dynamic ครบทุกย่าน แต่ถึงเปลี่ยนเป็นโฟมก็ไม่ได้ช่วยเรื่องเก็บเสียงให้เงียบกว่าเดิมได้เยอะ นักหรอกครับ อย่างเก่งก็ซัก 10-20% เท่านั้นเอง คุณภาพงานของหูฟังก็โอเคครับถือว่าสมราคานะครับ ผมชอบตรงที่ใส่หูฟังที่แถมมาใน set นี่ดูกะทัดรัดใช้งานง่าย และแข็งแรงใช้ได้ครับ แต่ยางที่แถมมาด้วยควรเอาปาทิ้งหรือทำการทดลองทางวิทยาศาตร์ เช่น เผา , อบ , ให้รถทับ เป็นต้น
ปัญหาหลักก่อนจะซื้อคือ ต้องหายางที่ Match กับหูฟังและกับหูเราครับ สาเหตุเพราะผมเคยเอาตัวที่ใส่ยางขนาดกลางของ Super.fi 5pro ไปให้หลายๆคนลอง ปรากฏว่า ดันใส่กันไม่ได้ครับ ใส่แล้วหลุดซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เห็นบางคนใส่ Double Frange ของ Super.fi 5 pro แล้ว work ส่วนมากจะเป็นคนที่รูหูค่อนข้างเล็กน่ะครับ แต่หูผมจำเป็นต้องใช้ยางขนาดกลาง เพราะใช้กับ Double Frange แล้วเสียงเปลี่ยนไปในแบบที่ห่วยลงครับ ถ้ายังไงก็ลองหายางค่อยๆเปลี่ยนกันดูครับ เห็นยางของ Shure E2C ก็ใส่ได้ แต่ให้ผลได้ไม่ดีเท่ายาง Ue ครับ เพราะว่าปลายของยาง Shure มันหุ้มเข้ามากลายเป็นบีบเสียงและเพิ่มระยะการเดินทางของเสียงมายังหูเราให้ ไกลออกจากเดิมอีกนิดนึง เสียงก็เปลี่ยนไปอีก -_-'a ดังนั้นยางของ UE ( หรืออะไรก็ได้ที่มันใส่ได้) ที่เปิดกว้างๆจะเหมาะสุดครับ ตอนนี้จากที่ผมทดลองก็จะได้ผลแบบนี้ครับ
คนรูหูเล็ก - ยาง Double Frange ( UE ) , ยาง Shure ( E2C ) , จุกโฟม ( UE )
คนหูขนาดปรกติ - ยางขนาดกลาง ( UE )
รูหูใหญ่ - ยาง... หาเอาเองละกันครับ 5555
ส่วน ราคานี่ 1,390 บาทเท่านั้นครับ ไม่อยากจะเทียบกับ CX300 , Vsonic และ EP630 นะครับ เพราะผมไม่มีในมือซักตัว แต่ผมคิดว่า Vsonic กับ EP630 ไม่น่าสู้ได้ถ้าวัดกันด้วยคุณภาพเสียงโดยรวม แต่กับ CX300 นี่ต้องถือว่าเป็นคนละสไตล์ครับ
ตอนนี้ Crossroad Mylarone X3 ไม่มีขายแล้วครับ ในตลาดกลายเป็น mylarone X3i หมดแล้ว ซึ่ง คุณภาพเสียงสู้ X3 ธรรมดาไม่ได้ครับ ถ้าอยากใช้ X3 ก็ต้องซื้อ soundmagic PL12 ซึ่งเป็น model เดียวกับ mylarone X3 เลยครับ คุณภาพเสียงก็เหมือนกันเลย ผมคิดว่าทาง crossroad น่าจะจ้างบริษัท soundmaigc ผลิตหูฟังให้ก่อนหน้านี้น่ะครับ หลังๆคงยกเลิกสัญญากัน ทาง crossroad จึงผลิตหูฟังออกมาเอง ดังนั้นถ้าสนใจ mylarone X3 ก็หาซื้อ PL12 มาแทนได้เลยครับ ผมทดลองแล้ว เสียงเหมือนกันเป๊ะเลย
- soundmagic pl12 ตัวคู่แฝดของ X3 -
ถ้าสนใจก็ลองหาฟังกันดูได้ครับ ตอนนี้ถ้าจะมีขายก็คงมีตาม web เท่านั้นครับ เนื่องจากร้านค้าทั่วไปไม่มีใครรับเอา PL12 มาขายหน้าร้านเลยครับ น่าเสียดายเหมือนกัน
Specification
Speaker diameter | 9 mm |
Frequency response | 20 Hz - 22KHz |
Impedance | 12 Ohm |
Sensitivity | 100 dB |
Power capability | 2m w |
Distortion | 1%(1KHz) |
15 mw | |
Transfer principle | dynamic , in-ear |
Input | 2 mw |
Cord length | 120cm |
Color | black,white |
6 ความคิดเห็น:
ตัวนี้กับ หูแถมของไอโฟนอะครับ อันไหนดีกว่ากัน
เสียงเหนือกว่าหูแถมอยู่แล้วครับ แต่ตอนนี้ X3 ไม่มีขายแล้ว มีรุ่นตัวแทนเป็น soundmagic Pl12 แทนครับ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกัน
PL11 กับ Pl12
มันต่างกันยังไง ครับ
รบกวนที
PL12 เบสและเสียงแหลมจะไม่เท่า PL11 ครับ แต่ Balance เสียงโดยรวมดีกว่า
PL11 ก็เบสเยอะ แหลมแยะ น่ะครับ แต่ถ้าซื้อนาทีนี้ PL11 คุ้มกว่าครับ
ผม ซื้อ PL 12 มาแล้ว คับ เสียงโดยรวม ok เลยคับ สำหรับราคา ขนาดนี้ ขอบคุณสำหรับ ประสบการณ์ และคำแนะนำ นะคับ
ดีใจด้วยครับที่ชอบ แต่เร็วๆนี้จะมีบริษัทนำเข้ามาแล้วครับ
แสดงความคิดเห็น