Audio-Technica AD2000
ถ้าใครเคยตามอ่านข้อมูลหูฟังตามบอร์ดต่างประเทศบ่อยๆจะค่อนข้างคุ้นตากับชื่อ Audio-Technica ครับ ครั้งแรกที่ผมได้ยินผมยังนึกว่าเป็นยี่ห้อหูฟังจากทางอเมริกาซะอีก แต่ในความเป็นจริงแล้ว Audio-Technica เป็นผู้ผลิตหูฟังชื่อดังจากทางฝั่งประเทศญี่ปุ่นครับ
จริงๆในบ้านเราก็มีตัวแทนจำหน่ายรับเข้ามาขายอยู่ แต่เหมือนจะไม่ค่อยทำตลาดให้เท่าไหร่ ทำให้ชื่อเสียงของ Audio-Technica ไม่ค่อยโด่งดังในหมู่คนไทยเท่าไหร่ ผมเชื่อว่ายังมีคนอีกหลายๆคนที่ไม่รู้จักชื่อนี้ และมีอีกหลายๆคนที่ไม่เคยฟังเสียงจากหูฟังยี่ห้อนี้ ทั้งๆที่เป็นหูฟังที่โด่งดังมากๆในอเมริกาทีเดียวครับ เทียบชั้นได้กับ Sennheiser , Sony และ Grado เลยทีเดียว
หูฟังที่เด่นๆทางค่ายนี้ก็จะมี
- ATH-W series ที่มีตั้งแต่ W1000 ,W3000, W5000 ( W มาจากคำว่า Wood )
- ATH-A series ซึ่งจะเด่นเฉพาะ A900 , A900LTD , A950LTD ( LTD มาจาก Limited )
- ATH-AD series ที่มีตัวเด่นดังตัวเดียวคือ AD2000
- ATH-L Series มีรุ่นเดียวคือ ATH-L3000 ที่ถือเป็น Flagship ของทางค่ายและมีเพียง 500 ตัวทั่วโลก
และวันนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องของ AD2000 ครับ
ATH AD2000 นั้นเป็น series เดียวของ Audio-Technica ที่เป็นแบบ Open Dynamic ในขณะที่ตัวอื่นๆล้วนเป็น Close Type แทบทั้งสิ้น และอันที่จริงแล้วหูฟังแบบ Close Type ของ Audio-Technica จะค่อนข้างมีชื่อเสียงกว่าทาง Open ด้วยซ้ำ เพราะเป็น Close Type ที่ให้ความรู้สึกโปร่งไม่เหมือนใคร ในขณะที่ยี่ห้ออื่นที่เป็น Close Type จะให้เสียงที่ออกอับๆเป็นส่วนใหญ่ แต่เสียงที่ได้จากหูฟังแบบ Open ของ Audio-Technica เองก็ใช่ว่าจะด้อยกว่า Close Type แถมยังให้เสียงที่ดีจนหาตัวจับได้ยากทีเดียว
วัสดุภายนอกของหูฟังค่อนข้างทำได้ประณีตมากๆทีเดียว เพียงแต่รูปลักษณ์จะดูแปลกตาไปซักหน่อย ถ้าใครมองไกลๆจะนึกว่าเราเอาพัดลมมาประกบหูเราอยู่ แต่เพราะ Design แบบนี้เองที่ทำให้ได้เสียงที่โปร่งและสามารถรู้สึกได้ถึง Airy หรือมวลอากาศที่รอดไหลผ่านในแต่ละชิ้นดนตรี
ขนาด image ของทั้งเสียงร้องและชิ้นดนตรีค่อนข้างใหญ่เอามากๆเมื่อเทียบกับหูฟังรุ่นราวคราวเดียวกันอย่าง ATH-A series และ AKG K701 ซึ่งถึงจะใหญ่ขนาดไหนก็ไม่รู้สึกว่าอึดอัดและน่ารำคาญแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกับ Ergo2 ที่ผมเคยฟัง ทางนั้นให้ขนาด image ที่ใหญ่จริง แต่ว่า soundstage และมิติเสียงกลางแย่มากๆ ทำให้ดูแบนไปหมด ฟังแล้วน่าอึดอัด แต่ของ AD2000 ให้มิติเสียงที่ดีเอามากๆครับ ถึงแม้ว่า soundstage จะไม่ได้กว้างมากมายเท่าพวก AKG K701 หรือ A950LTD แต่การแบ่งแยกชิ้นดนตรีกลับทำได้ดีเอามากๆ ตำแหน่งแต่ละชิ้นมีความชัดเจนและแบ่งแยกกันเป็นระยะห่างออกไปได้ดี บางเพลงที่อัดมาดีๆจะรู้สึกถึงความเป็น 3 มิติด้วยซ้ำครับ Headstage ของ AD2000 ก็ทำได้ดีเอามากๆครับ เรียกว่าพุ่งขึ้นไปสูงทีเดียว บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้สูงมาก นั่นเพราะมีขนาดของเสียงร้องใหญ่ๆที่แผ่ออกมาขวางทำให้รู้สึกว่ามันไม่ได้ลึกมาก แต่ถ้าได้เจออัลบั้มที่อัดมาดีๆจะรู้สึกเลยครับว่า มันลึกขึ้นจริงๆ ทำให้การรับรู้ image ของแต่ละชิ้นมันเด่นชัดขึ้นมามากๆครับ
เสียงกลองของ AD2000 นี่เหนือกว่า A950LTD ที่ผมชอบนักชอบหนาอีกครับ ทั้งการลงน้ำหนักและการให้รายละเอียดของเสียงกลอง ทุกอย่างทำได้ดีกว่าทั้งหมด ที่สำคัญคือ เสียงแฉกับไฮแฮ็ทให้ความชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากครับ สามารถสัมผัสถึงน้ำหนักของไม้ที่ตีลงบนแฉได้เลยครับ จะหนักจะเบาหรือสัมผัสปลายแฉเบาๆก็ได้ยินได้ครบทั้งหมด ในขณะที่ของ 950LTD ยังให้ได้ไม่เท่านี้ กระทั่งรายละเอียดที่ลงบนเส้นสายกีต้าร์ก็เก็บได้หมดทุกเส้น จังหวะการลง จังหวะการเกา จังหวะสไลด์ สามารถรับรู้และได้ยินอย่างชัดเจนครับ
เรื่อง Detail ก็ไม่ต้องห่วงครับ เก็บรายละเอียดได้แทบครบทุกเม็ดทีเดียว ซึ่งการที่ Full Range ให้รายละเอียดได้ขนาดนี้โดยไม่รู้สึกว่าเสียงสูงแห้งหรือแบนแบบ AKG K701 โดยเฉพาะส่วนของเสียงสูงนั้นที่แจกแจง Detail ได้ครบเกือบหมด ยกเว้นบางจุดที่ยังถ่ายทอดได้ไม่ดีเท่ากับพวกที่แยก Tweeter ออกมาชัดเจนอย่าง Triple.fi เพราะยังไงก็ถือเป็นจุดอ่อนของ Driver แบบ Full Range อยู่แล้ว ซึ่งถ้าจะจูนให้ได้ Detail เหมือน Triple.fi 10 pro ก็คงทำได้ไม่ยากครับ แต่จะทำให้ Balance ของเสียงโดยรวมมันเพี้ยนไป กลายเป็นแสบแก้วหูอย่างเดียวเลย
เสียงร้องก็มีความชัดเจนเอามากๆ ถึงแม้ image เสียงร้องจะดูใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แห้งบางแต่อย่างใด เป็นเสียงร้องที่มีน้ำมีนวลและคมชัด แถมเพลงร้องคู่หรือที่มีคอรัสขึ้นมาพร้อมๆกัน ยังสามารถแยกออกมาได้ขาดจากกันเลยทีเดียวครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มีมวลเท่ากับ Sennheiser HD650 ก็ตาม แต่น้ำหนักของเสียงร้องก็ไม่ได้ขี้เหร่แต่อย่างใด เพราะมีทั้งความชัดเจนและมีความเป็นมิติที่คล้ายๆกับของทาง K701 เลยทีเดียว แต่ก็ยังสู้ K701 ไม่ได้ในแง่ของเสียงร้องที่ K701 ให้ความเป็น 3 มิติที่เหนือกว่า
เบสของ AD2000 นั้น ให้มวลเบสที่ดี มีทั้ง Impact , Middle และ Deep ครบเครื่อง ถึงแม้ว่า Deep เบสจะยังสู้ A950Ltd ไม่ได้ แต่ Impact และ Middle เบสก็ยังดีกว่าอยู่ครับ เห็นใน Head-fi บอกว่าบวม แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันบวมนะครับ เพียงแต่รูปร่างของ image เบส ยังไม่ค่อยดีแค่นั้นเอง ถ้า image เบสออกมาเป็น 3 มิติเหมือน UE11 Pro ได้ จะยิ่งแจ๋วเลยครับ
โดยรวมถือว่าเป็นหูฟังที่ให้เสียงยอดเยี่ยมและครบเครื่อง เป็นส่วนผสมกลมกลืนระหว่างความเป็น Studio และความเป็น Audiophile เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถที่จะหยิบเอามาฟังได้แทบทุกแนวเลยทีเดียว แถมยังขับง่าย ลำพังต่อกับ iPOD ตรงๆก็ให้รายละเอียดได้แทบหมดทุกหยดแล้วครับ การใช้แอมป์ช่วยแม้จะไม่มีผลต่อ Dynamic มากมายนัก แต่ถ้าได้แอมป์ที่ช่วยเพิ่มมิติและ soundstage พร้อมทั้งกระชับ image ได้ ก็จะยิ่งเสริมให้หูฟังตัวนี้ไปได้ไกลมากขึ้น เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบใช้แอมป์แต่อยากได้ Full-size ดีๆซักตัวไว้ใช้ ตัวผมเองเวลาใช้บางทีก็ไม่ต่อกับแอมป์เหมือนกันครับ เป็น Full-size 1 ในไม่กี่ตัวที่ผมอยากจะยกให้มันเป็นสุดยอดในเรื่องของเสียงและความสะดวกในการใช้งานที่สุดทีเดียวครับ
สนใจก็ลองไปหาฟังกันดูแล้วกันครับ
SPEC
Type: Open-Air Dynamic
Driver Unit: 53mm, OFC-7N bobbin winding voice coil
Magnet: Neodymium
Frequency response: 5 - 45,000Hz
Impedance: 40 ohms
Max. Input Power: 1000mW
Output overpressure value: 102dB/mW (JEITA)
Plug: Mini/Standard Gold plated 2 Way
Cord length: Elastomer/OFC-6N+OFC/3.0m
Net weight (without cord): 250g
3 ความคิดเห็น:
ทำให้มันต้องออกแบบมาให้บีบหัวป๋มด้วยยยยย
T+ T ไม่งั้นหยุดที่เธอสบายเลยครับ เทพจริงๆตัวนี้ ใครสนใจ หรอยได้ ไม่ผิดหวัง :)
5555 มันกดหูหน่อยๆน่ะครับ ใหม่ๆอาจจะไม่ชิน เพราะ driver มันจะแนบหูมาก แต่ใช้ซักพักก็น่าจะชินนะครับ ผมยังชินเลย
ไม่บีบหัวเลยครับ ใส่สบายมากๆ >_<
คุ้มมากเลยกับราคานี้ ถูกใจครับ
แสดงความคิดเห็น