วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Review : Microlab Solo7C ลำโพง PC คุณภาพ Hi-Fi








ตัว Solo 7C นี่บังเอิญผมได้รับความอนุเคราะห์จากทาง Exmory ที่ให้ยืมมาทดสอบ หลังจากที่ผมพยายามตื้อขอลอง Solo 6c อยู่หลายวัน แต่ทางนั้นยืนยันว่าให้ลอง Solo7C ไปเลยจะได้ไม่เสียเวลาแบกไปแบกมาหลายรอบ จริงๆผมไม่อยากลองตัว 7C เท่าไหร่ เนื่องจากขนาดของมันค่อนข้างใหญ่เพราะเป็นรูปทรงแบบ Half-Tower ผิดจากตัว Solo 6C ที่เป็นแบบ Bookshelf ที่แบกได้ง่ายกว่า และการเอามาทดสอบผมจะค่อนข้างเน้นการใช้งานในรูปแบบเคียงคู่กับ PC ซะเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นโดยความรู้สึกในหนแรกเลยคิดว่า ขนาดของ Solo 7C น่าจะไม่เหมาะกับการ review เพราะโดยปรกติลำโพงสไตล์แบบ Solo 7C เค้าจะไม่ค่อยเอามาวางเป็นลำโพงขนาบข้างกับ PC กันซักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่มักจะใช้เป็นคู่ซ้ายขวาเข้าชุดกับ Home Theater มากกว่า ผมก็เลยพยายามจะตื้อของ solo 6C ต่อไป สุดท้ายเค้าเลยอ่อนใจ จับให้ไปลองนั่งฟังเทียบดูก่อนตัดสินใจจะยกมา ปรากฏว่า ฟังเทียบกันไปมา ผมก็ได้แบก Solo 7c มาแทนแบบไม่ต้องคิดมากใดๆ เนื่องจาก solo 7c เหนือกว่า 6c แบบไม่ต้องคิดมากเลยครับ





รูปลักษณ์ภายนอก





รูปแบบของลำโพงตัว Solo 7c เป็นลำโพงสไตล์แบบ Active ที่มีภาคขยายในตัว ตัว Body ของ Solo7C ทำจากไม้ที่ค่อนข้างหนาและแข็ง ทำให้ลำโพงมีน้ำหนักค่อนข้างมากเอาการ ใน set ลำโพงเองจะมีรีโมทสำหรับควบคุมเสียงมาให้ด้วย ซึ่งตัวรีโมทนี่สำคัญมากนะครับ เพราะการปรับเบสและการปรับเสียงแหลม ต้องปรับผ่าน remote เท่านั้น เนื่องจากด้านหลังลำโพงมีแ่ค่เพียงปุ่ม Volume Control เท่านั้นเอง ดังนั้นห้ามทำหายเด็ดขาดครับ แต่ถึงหายก็มีขายเป็นอะัไหล่เสริมใหญ่อยู่ดี เกิดหายไปจริงๆก็อย่าใจเสียมือสั่น เป็นไข้่ เป็นลมเป็นแล้งไปแล้วกันครับ ขอบ่นเรื่องรีโมทนิดนึงแล้วกันนะครับ คือ ขนาด รีโมทมันจุ๋มจิ๋มน่ารักจนไม่เข้ากับขนาดลำโพงเอาซะเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงให้ remote ไซส์นี้มา แต่ก็ดีอย่างคือมันหาที่วางง่าย ไม่รู้สึกเกะกะถ้าต้องมาวางแถวหน้าคอมครับ

ดอกลำโพงของ Solo 7C จะมากกว่าของ Solo 6C อยู่ 1 ดอก ซึ่งจะเป็นดอกขนาด 6.5 นิ้ว 2 ดอก และมี Tweeter แบบโดนผ้า ขนาด 1 นิ้ว วางอยู่บริเวณตำแหน่งด้านบนสุด การมีดอกลำโพงเพิ่มจาก solo6c อีก 1 ตัว ทำให้ตอนแรกผมเข้าใจว่ามันจะไปช่วยเพิ่มในเรื่องเบสอย่างเดียว เพราะโดยปรกติ ถ้าเป็นลำโพง 3 ดอก ตัวชุดสุดท้ายมักจะเป็นดอก Woofer แต่เท่าที่ลองฟังเทียบกับ solo6c ผมรู้สึกว่า หลายๆอย่างมันไม่เหมือนเอาซะเลยครับ ลำพังเสียงกลางของ solo7c ก็ดูจะไม่ออกทื่อๆเหมือน solo6c แล้ว ย่านสูงก็ดูมีน้ำมีนวลกว่า รวมทั้งเบสที่ออกมาได้เต็มที่กว่า ดังนั้นคิดว่าการได้อีกดอกมาเสริม กลับกลายเป็นช่วยลดภาระให้กับอีกดอกนึง ทำให้เสียงออกมาได้เต็มที่มากกว่า ดังนั้น ตัวนี้เลยน่าใช้กว่า Solo 6C อีกครับ

ปัญหาอย่างเดียวของลำโพงคู่นี้คือ การวางลำโพง เพราะ เป็นลำโพงที่ไม่สามารถวางบนโต๊ะข้างๆจอๆแบบ Solo6c ได้ เนื่องจากขนาดมันใหญ่และยังสูง ทำให้เวลาวางบนโต๊ะจะให้มิติของเสียงที่แปลกไปทันที เนื่องจากช่วงระยะของช่วงเสียงจะเลยหัวเราไป เพราะตามหลักการฟังลำโพงที่ถูกต้อง ควรจะให้ตำแหน่งของ Tweeter เสมอกับหูของเราพอดี ดังนั้นเราจะต้องหาขาตั้งมาช่วยเสริมครับ จริงๆสามารถใช้ขาลำโพงสำหรับพวก Bookshelf มาใช้ก็ได้ครับ แล้วแยกออกมาวางด้านข้างซ้ายขวา แทนที่จะเอามาประกบกับหน้าจอ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการวางแยกออกไปก็จะเป็นข้อดีด้วยครับ เพราะจะัทำให้ระยะของเสียงที่ดีขึ้น การแยกชิ้นดนตรีก็จะดีมากขึ้น ซึ่งการ set ในการทดสอบของผมก็จะใช้วิธี set แบบที่เผื่อไว้สำหรับคนที่ใช้ฟังกับ PC เวลาคนซื้อไปใช้กับคอมจะได้ไม่มีปัญหาว่า review ไม่เหมือนกันที่ตัวเองได้ันั่งฟัง อีกอย่างคือ ขนาดห้องไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้ผมนั่ง set แบบชุดใหญ่เท่าไหร่ แถมช่วงนี้ไม่ว่างมาแบกลำโพงด้วย เลยเอาเป็น review แบบที่คิดว่าน่าจะเจอกันตามสถานการณ์ทั่วไปจะดีกว่าน่ะครับ






ว่ากันเรื่องเสียง


จากตำแหน่งการวางลำโพงรวมทั้งระยะการนั่งที่ผมถือว่าใกล้ลำโพงมากๆ ซึ่งส่วนตัวผมไม่คิดว่ามิติเสียงที่ออกมามันจะดี แต่ปรากฏว่า การนั่งฟังใกล้ๆ กลับให้มิติที่ดีกว่าการนั่งถอยห่างออกอีกระยะนึง เพราะการถอยห่างจนถึงระยะที่เหมาะสมตามแบบฉบับลำโพงทั่วไป กลับทำให้ image ของชิ้นดนตรีทั้งหมดมารวมกระจุกกันอยู่ตรงกลางแทน คิดว่าลำโพงตัวนี้ถ้าได้วางระยะที่เหมาะสมแบบห่างมากๆ และได้ที่นั่งที่ตำแหน่งตรงตามที่ควรจะเป็น จะยิ่งแสดงศักยภาพได้ดีกว่าที่เป็นอยู่อีกครับ เพราะลำพังที่ตั้งแบบใช้งานทั่วไปก็ทำได้ดีมากๆทีเดียวครับ


การแยกชิ้นดนตรีถือว่าืทำได้ดีมากครับ ซึ่งจริงๆลำโพงระดับนี้ไม่ค่อยผิดหวังเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะการ focus image ของเสียงต่างๆถือว่าทำได้ดีเอามากๆเลยทีเดียว ความรู้สึกเวลาหลับตาฟังจะเหมือนนั่งอยู่ชิดหน้าแถวแล้วฟังวงดนตรีบรรเลงเพลงให้ฟังกันสดๆเลยครับ ยิ่งตัว signature ของลำโพงเองที่ออกแบบมาให้สไตล์เสียงออกไปทาง Monitor ทำให้เสียงที่ได้ค่อนข้างชัดและเป็นธรรมชาติมากๆ

โดยเฉพาะช่วงย่านเสียงสูงที่ให้หัวโน้ตได้ดีและชัดเจนมาก การถ่ายทอดเสียงแต่ละชิ้นดนตรีก็ให้น้ำหนักได้ดีมีความชัดเจน อย่างเสียงของแฉ หรือ ไฮแฮท ไม่ปะปนกันเลย น้ำหนักของเสียงมีความแตกต่างอย่างรู้สึกได้ัชัดเจน ทำให้รับรู้ได้ว่าใช้แฉรูปแบบใด แบบบางหรือแบบหนา แม้ปลายเสียงจะไปทอดตัวยาวลากปลายไปจนสุด แต่ก็ไม่ห้วนหายไปจนเสียความรู้สึก ที่สำคัญเสียงสูงไม่จัดจ้านจนแสบแก้วหู แต่ให้เสียงที่ชัดเจน ฟังง่าย สบาย เสียงกีต้าร์แม้่จะไม่ได้ให้เสียงที่คมขนาดรับรู้ถึงเส้นสา่ยกีต้าร์แต่ละเส้นได้ชัดเจน แต่ก็ถ่ายทอดรายละเอียดออกมาได้ดี ไม่มีอาการกลืนเป็นเนื้่อเดียวกันแต่อย่างใด

เสียงกลางของ Solo7c ไม่ได้มีมวลมากมายนัก แต่ให้เนื้อเสียงที่ดีแน่น เด่นชัด โดยเฉพาะการถ่ายทอดน้ำหนักกลองในแต่ละช่วง ทั้งเสียงทอมแต่ละลูกไปจนถึงสแนร์ซึ่งทำออกมาได้ดีชัดเจน และรู้สึกถึงน้ำหนักของกลองแต่ละลูกได้ ที่สำคัญช่วง impact หรือหัวโน้ตในส่วนของกลองนั้น ไม่มีนักหนักที่โอเว่อร์แต่อย่างใด น้ำหนักของการหวดไม้ลงบนหน้ากลองจะแตกต่างกันไปตามแต่ที่เพลงจะบันทึกมา ซึ่งจะค่อนข้างแตกต่างกับลำโพง หรือหูฟังหลายๆตัวที่ผมเคยได้ลอง เพราะพวกนั้นถ้ากลองตีลงหนัก เพลงไหนที่อัดกลองเด่นๆ ก็จะตีลงหนักเช่นกัน แต่ของ Solo7c ถ้าเพลงไหนอัดมาแบบตีหนักๆ กลองก็จะลงหนัก ถ้าเพลงไหนลงปานกลาง ก็ถ่ายทอดออกมาตามนั้น ทำให้เสียงกลางดูไม่ color มาก และเข้าถึงอารมณ์ของดนตรีที่ทา่ง Producer ต้องการถ่ายทอดออกมาได้ง่ายยิ่งขึ้น

เสียงร้องค่อนข้างเด่น และให้มิติที่ดีมากๆ ผมลองเพลง Close to you ของ Susan Wong แล้วลองหลับตาฟังดู พอหลับตาก็รู้สึได้ถึงตำแหน่งเสียงร้องของ Susan Wong ให้อารมณ์แบบเรากำลังนั่งฟัง Susan Wong ร้องเพลงในผับแบบระยะใกล้ชิดเลยทีเดียว กระทั่งชิ้นดนตรีอื่นๆ ก็อยู่แยกลอยห่างออกไปอย่างมีมิติ และรู้สึกได้เลยว่านักดนตรีกำลังเล่นดนตรีอยู่บนสเตจ ไม่้ได้เล่นกลางอากาศแบบที่ลำโพงทั่วๆไปถ่ายทอดออกมา แม้จะยังเก็บรายละเอียดทุกจังหวะของเสียงได้เท่ากับลำโพงดีๆต่อเครื่องเสียงแพงๆ แต่ได้แค่อารมณ์การฟังเพลงที่ขึ้นไปเทียบเคียงได้แบบนี้ก็น่าพอใจพอตัวแล้วครับ


เสียงเบสของ Solo7c เองก็ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน แม้จะไม่มี deep เบสอลังการเหมือนกับลำโพงแบบ 2.1 ที่ใช้ sub woofer ต่างหาก แต่ impact ของ solo7c ก็ถือว่าทำออกมาได้ดีมากครับ เพราะให้ impact ที่กระแทกชัดเจน เด่นชัด และเป็นแบบที่แน่น ไม่มีอาการบวมหรือครางออกมาแต่อย่างใด ช่วง middle เบสก็เกือบแน่นใช้ได้ ถือว่าให้เนื้อได้เกือบดี เวลา่ถ่ายทอดไลน์กีต้าร์เบสก็ำทำออกมาได้ชัดเจน ไม่มีอาการบางหายไป ส่วนช่วง deep bass อาจจะลากได้ไม่ลึกเท่าพวกที่แยก sub woofer แต่ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดี ไม่มีอาการห้วนหายไป เรียกได้ว่า เบสออกมาได้ครบตั้งแต่ต้นยันจบเลยทีเดียว แถมยังแน่นกระชับ และถ่ายทอดน้ำหนักแยกแยกได้ชัดเจน โดยเฉพาะเสียงกระเดื่องกับไลน์เบสที่เวลาตีคู่กันไปซึ่งจะมีปัญหากับลำโพงหลา่ยๆตัวที่ไม่สามารถถ่ายทอดแยกแยะออกมาได้ แต่ของ solo7c สามารถได้ยินชัดเจนดีทีเดียว เพราะน้ำหนักของเสียงทั้งคู่ค่อนข้างแตกต่างกัน ทำให้เราแยกแยะทั้งกีต้าร์เบส และ ดรัมเบส ได้สบายๆ

จริงๆเราสามารถปรับเบสให้ได้ deep และ มวลของเบสมากขึ้นได้ เพราะตัวเครื่องสามารถปรับเบสได้ถึง 8 ระดับเลยทีเดียว แต่การปรับเบสที่เลยระดับ 4 ขึ้นไปนั้่น จะไปดึงย่านกลางให้ขุ่นลงและมีมวลมากขึ้น โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้าไม่ซีเรียสเรื่องเบสมากก็ไม่้จำเป็นต้องไปปรับแต่อย่างใด หรือถ้าอยากได้เบสเยอะๆก็ไม่ควรเกิน 4 ยกเว้นว่ารักเบสชอบเบสจริงๆ ก็อัดเต็มที่เลยครับ






กำลังขับของ Solo7c เองก็ค่อนข้างเหลือเฟือ ด้วยกำลังขับข้างละ 50watt ทำให้เสียงที่ได้ค่อนข้างดังกระหึ่มลั่นบ้านจนหลายๆคนต้องเปิดประตูเข้ามาถามไถ่ว่าเสียงอะไร และด้วยความที่เป็นลำโพงแบบ Active ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหาแอมป์มาต่อให้วุ่นวาย แต่ถ้าได้ก็ดี เพราะจะช่วยเสริมให้ศักยภาพของ Solo7C ดีเด่นมากยิ่งขึ้น




โดยรวมต้องถือว่าเป็นลำโพงที่น่าสนใจอีกตัวนึงเลยทีเดียว สนนราคาค่าตัวก็ไม่ได้แพงมาก ยิ่งเทียบกับคุณภาพที่ได้ถือว่าคุ้ม ตัวเดียวเรียกว่าอยู่เลยทีเดียว เพราะถ้าเบื่อจะใช้งานกับ PC แล้ว ยังเอามาใช้งานกับทีวีเพือเข้าชุด Home Theater ได้อีกด้วย เพราะด้านหลังของ SOLO7C มีช่องรับที่เป็นหัวแบบ RCA ไว้รองรับเรียบร้อย ไม่ต้องกลัวมีปัญหาเชื่อมต่อไม่ได้ ใครสนใจอยากไำด้ลำโพงตัวเดียวจบซักตัว SOLO7C ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจครับ โดยรวมผมว่าเสียงดีกว่า 6C เยอะครับ






8 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถ้าเทียบตัวนี้กับ Pro1 และ H200 เพื่อใช้ฟังเพลง ตัวไหนน่าสอยที่สุดครับ

ปล.เพลงแนว R&B, Pop ครับ

G7 กล่าวว่า...

H200 ครับ ฟันธงด้วยประการทั้งปวง

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ถ้าเทียบกับ h200 ตัวไหนน่าเล่นกว่ากันครับ

G7 กล่าวว่า...

ถ้าเน้นดูหนัง เล่นเกมส์ ตัว Solo7C น่าเล่นกว่าครับ แต่ถ้าเน้นฟังเพลง แล้วตามด้วยเล่นเกมส์ ดูหนัง... ตัว H200 น่าเล่นกว่าครับ

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ผมเน้นฟังเพลง ร้องเกะ แล้วก้ดุหนังบ้างนานๆที
h200 หรือ h200dหรือ solo7c
เน้นที่ฟังเพลงกับร้องเกะครับ รุ่นไหนดีครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ
เสียบกับ pc soundcard xonar d2x ครับ
ขอบคุณมากเลยครับ

ปล.ผมเคยเล็ง creative gigawork t40 ii ด้วยครับ ตัวนี้เป็นยังงไงบ้างครับ ราคมไม่หนีกันเท่าไหร่

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

แล้วก็ h300 อีกตัวนึงครับ
ตัวไหนดีครับ

G7 กล่าวว่า...

ถ้่าจะเลือก H300 ต้องดูขนาดห้องกับตำแหน่งการฟังนิดนึงนะครับ เพราะ H300 ต้องการขนาดห้องที่ใหญ่ซักหน่อย และมีระยะห่างจากลำโพงราวๆเมตร - 2 เมตรเลยครับ

ส่วนเรื่องถ้าเน้นฟังเพลงกับคาราโอเกะ ตัว H200 จะได้เปรียบกว่าึครับ แต่ถ้าซื้อ H200 ให้ซื้อ H200D ไปเลยจะดีที่สุดครับ ว่าแต่ H200 ที่ไม่มีรหัส D ไม่น่าจะมีขายแล้วนะครับ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะห่างในการฟังของ H200D จะเรื่องมากกว่า solo7c ครับ เพราะ solo7c ยังพอนั่งใกล้ๆได้ แต่ H200D ถ้าจะเอาให้มันออกมาดีสุด ต้องถอยระยะออกไปพอสมควรครับ ยิ่งห่้างยิ่งดี

G7 กล่าวว่า...

creative gigawork t40 ii ผมเคยฟังตัวรุ่นน้อง T20 เสียงไม่เข้าท่าเลยครับ ไม่คุ้มค่าตัว แต่ตัว t40 ยังไม่เคยลองฟังครับ แต่ผมเชื่อว่าไม่น่าสู้ Solo7c ได้ครับ ลำพังขนาดดอกก็แพ้กันแล้วครับ อีกอย่าง Creative ชอบไปจ้างวานเค้าผลิต ไม่ได้ผลิตและจูนเองเหมือน Microlab