Fischer เป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างใหม่ในบ้านเราแต่ก็มีหลายๆคนรู้จักกันดี โดยเฉพาะรุ่นยอดฮิตใน Head-fi อย่าง Eterna ที่ตอนนี้ออกมาเป็นรุ่น V.2 แล้ว เห็นว่าปรับปรุงเรื่องคุณภาพเสียงที่คนบ่นๆจาก version แรกด้วย ซึ่งผมเองก็เคยฟังตัวแรกแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีแต่เบสเหมือนหลายๆคนบ่นๆกัน เท่าที่จำได้รู้สึกว่ามันกำลังดีพอดีแล้ว ถ้าเรื่องเบสผมว่า Monster Turbine ยังเบสล้นกว่าเยอะเลย
รุ่น fullsize ที่ดังของ brand จริงๆแล้วเป็นตัว FA-002W ที่เป็น Housing แบบไม้ซึ่งอันนั้นเดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกทีใน review เฉพาะของ FA-002w แต่ตัว FA-003 เองก็มีคนใช้ค่อนข้างเยอะทีเดียว ตอนที่ผมได้มาครั้งแรกเอามาลองต่อ iPOD ตรงๆ ผมกะว่าจะไม่ review แล้ว เพราะพูดตามตรงว่า เสียงที่ผ่านจาก iPOD ออกมามันธรรมดามากๆ มันดูบางไปหมด มีเสียงแหลมอย่างเดียวที่โดดเด่นออกมากว่าเพื่อน มิติดี แต่เสียงผมว่ามันบางไปหน่อยก็เลยไม่ได้ไปสนใจอีก แต่บังเอิญมีคนส่ง Maverick D1 ที่ผ่านการโม opamp แล้วมาให้ผมลอง ผมก็เลยเอามาลองใช้กับ FA-003 ดู ปรากฏว่าต่างกันกับตอน iPOD ราวฟ้ากับเหว ศักยภาพของหูฟังมันแสดงออกมาเต็มที่ก็ตอนนี้เอง ( ไม่รู้ว่า Maverick เค้าโมมาดีเพราะเห็นเปลี่ยนมากกว่า opamp หรือ มันเบิร์นถึงพอดีก็ไม่รู้นะครับ เพราะตอนลองกับ ipod คือตอนแกะกล่องใหม่ๆเลย แต่ตัวหูฟังมันก็ค่อนข้างรีเควสไดนามิคเยอะๆอยู่เหมือนกัน )
รุ่น fullsize ที่ดังของ brand จริงๆแล้วเป็นตัว FA-002W ที่เป็น Housing แบบไม้ซึ่งอันนั้นเดี๋ยวค่อยมาว่ากันอีกทีใน review เฉพาะของ FA-002w แต่ตัว FA-003 เองก็มีคนใช้ค่อนข้างเยอะทีเดียว ตอนที่ผมได้มาครั้งแรกเอามาลองต่อ iPOD ตรงๆ ผมกะว่าจะไม่ review แล้ว เพราะพูดตามตรงว่า เสียงที่ผ่านจาก iPOD ออกมามันธรรมดามากๆ มันดูบางไปหมด มีเสียงแหลมอย่างเดียวที่โดดเด่นออกมากว่าเพื่อน มิติดี แต่เสียงผมว่ามันบางไปหน่อยก็เลยไม่ได้ไปสนใจอีก แต่บังเอิญมีคนส่ง Maverick D1 ที่ผ่านการโม opamp แล้วมาให้ผมลอง ผมก็เลยเอามาลองใช้กับ FA-003 ดู ปรากฏว่าต่างกันกับตอน iPOD ราวฟ้ากับเหว ศักยภาพของหูฟังมันแสดงออกมาเต็มที่ก็ตอนนี้เอง ( ไม่รู้ว่า Maverick เค้าโมมาดีเพราะเห็นเปลี่ยนมากกว่า opamp หรือ มันเบิร์นถึงพอดีก็ไม่รู้นะครับ เพราะตอนลองกับ ipod คือตอนแกะกล่องใหม่ๆเลย แต่ตัวหูฟังมันก็ค่อนข้างรีเควสไดนามิคเยอะๆอยู่เหมือนกัน )
ภายนอก
โดยปรกติ Fischer เองค่อนข้างเก็บงานได้เนี้ยบอยู่แล้ว ตัว FA-003 เองก็ทำเนื้องานออกมาได้ดีมาก น้ำหนักค่อนข้างเบา ตัว PAD เองก็นิ่มมากๆ นิ่มประมาณ PAD ตัว AudioTechnica A950Ltd เลยทีเดียว แถมยังสามารถถอดได้ง่ายอีกด้วย เพราะใน set มีแถม pad แบบกำมะหยี่มาให้ต่างหาก แต่ผมว่าเสียงจาก pad หนังจะดีกว่า pad กำมะหยี่ครับ ส่วนสายสามารถถอดได้เหมาะสำหรับคนชอบโมสายมากๆ ตัวสาย stock เองก็ดูแข็งแรง สายออกนิ่มๆเป็นสายแบบไม่ตีเกลียวง่ายๆ และค่อนข้างยาวมากๆ ใครชอบสายยาวๆน่าจะถูกใจ
ตัว Housing ใช้อลูมิเนียมผสมด้วยขอบเคลือบพลาสติกแบบด้านนัยว่าจะทำไว้เพื่อกันรอยไม่ให้หูฟังเป็นรอยได้ง่ายๆ จริงๆตัวนี้ควรเรียกเป็นรุ่นปรับปรุงเพราะรุ่นแรกๆที่ออกมาจะเป็นเคลือบเงาเหมือน HD650 คิดว่าน่าจะเพราะมันลอกง่ายเลยต้องเปลี่ยนจากเงาๆมาเป็นด้านๆแทน แต่โดยส่วนตัวผมชอบแบบตอนแรกมากกว่าเยอะ ส่วนด้าน headband เป็นหนังหุ้มฟองน้ำนิ่มๆ เท่าที่ลองบิดเล่นดูก็รู้สึกว่าแข็งแรงพอๆกับพวกหูฟังแบบ Studio Monitor เลยทีเดียว
ใน set ของ FA-003 เองจะแถมกระเป๋าใส่ให้ด้วย รู้สึกว่ารุ่นถูกกว่าอย่าง FA-006 ก็แถมกระเป๋าให้เหมือนกัน และเป็นกระเป๋าผ้าแบบเดียวกันเป๊ะ แต่ด้านในบุฟองน้ำไว้วางหูฟังให้เข้าล๊อคและช่วยเรื่องกันกระแทกด้วย ถ้าใครชอบพกหูฟังไปไหนมาไหนบ่อยๆน่าจะชอบ case ของ FA-003 นะครับ จริงๆถ้าถอดเอาฟองน้ำรองหูฟังออก ก็น่าจะใส่หูฟัง brand อื่นๆแทนได้เหมือนกัน
เรื่องของเสียง
ตัว FA-003 ให้ Soundstage ที่อยู่ในขั้นดีมากๆเลยทีเดียว soundstage กว้างมาก ชิ้นดนตรีก็อยู่ในระดับพอเหมาะ ไม่เล็กหรือใหญ่โตจนอึดอัด มิติค่อนข้างดี ขึ้นไปได้ลึกในส่วน headstage แต่ไม่ได้สูงเท่า A900 หรือ M50 แต่จะโดดเด่นในแง่ soundstage มากกว่า เพราะไปได้ค่อนข้างไกลทีเดียว แต่เสียง Vocal ยังเข้ามาค่อนข้างใกล้หัวนิดหน่อย แต่จะคล้อยไปช่วงหลังหัวและอยู่ด้านบนๆหัวนิดๆ ลักษณะวงของมิติเป็นทรงแบบวงรีรักบี้แบบนอนและเป็นทรงกลมลึกไปด้านหลังหัว ให้ความรู้สึกโอ่โถงโล่งสบาย เสียงออกโปร่งผิดไปจาก Close Type ทั่วๆไปที่ออก dark แต่เสียงแหลมไม่จัดจ้านแสบแก้วหู ใกล้เคียง A900 แต่ไม่หวานเท่า A900
ในส่วนของการ Focus ชิ้นดนตรี ถ้าเป็น image เสียงร้องจะให้ขนาดที่ค่อนข้างเล็กแต่ focus ได้ชัดเจนดีมากๆ หนักไปทางเนื้อเสียงมากกว่ามวล แต่ถ้าชิ้นดนตรีอื่นๆจะมีขนาดใหญ่พอๆกับหูฟัง Fullsize ทั่วๆไป แต่ขนาด image จะไม่แตกต่างกันมากๆเหมือนกับ Ultrasone Pro750 ที่ image เสียงร้องลอยเด่นไม่ balance เข้าคู่กับชิ้นดนตรีอื่นๆ
เสียงสูงค่อนข้างโดดเด่น เป็นเสียงย่านสูงที่ชัดเจนให้รายละเอียดแจกแจงได้ดีมากๆ ออกใสเคลียร์ฟังสบายๆ ไม่จัดจ้าน ปลายเสียงสูงโรลออฟไวไปนิดนึง ด้านหัวโน้ตเสียงสูงให้มาได้ชัดเจน แต่เนื้อยังไม่แน่นเท่าไหร่ การให้รายละเอียดเสียงกีต้าร์เลยยังจัดอยู่ในระดับกำลังดีจังหวะการกรีดลงได้ยินชัดเจนแต่รายละเอียดของเส้นแต่ละเส้นยังติดบางๆไปนิดนึง ส่วนพวกตระกูล Crumble แต่ละชิ้น จัดว่าถ่ายทอดออกมาได้ดีครับ ให้ความชัดเจนและสมจริ รู้สึกถึงรายละเอียดของทั้งแฉและไฮแฮททั้งจังหวะการลากและการเคาะ แต่ก็ด้วยความที่เนื้อบางไปนิด พวกตระกูลนี้ก็เลยดูบางไปหน่อยครับ ภาพรวมของย่านสูงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีทีเดียว
เสียงกลางออกแนวติดย่านสูงเล็กๆ คือสว่างชัดและสดใส แต่เสียงไม่จัดจ้านและไม่ขุ่นครับ การให้ image ออกเป็นแนว 3 มิติไม่แบนราบเป็น 2 มิติแน่นอน ฟังหนแรกผมนึกถึงสไตล์เสียงของ Audio-Technica A900 เลยครับ ลักษณะแนวๆอย่างนั้น แต่จะไม่หวานเท่า A900 เท่านั้นเอง และการวางชิ้นดนตรีจะแตกต่างกับ A900 อยู่โดยเฉพาะตำแหน่ง image เสียงกลางที่ของ FA-003 จะอยู่ต่ำกว่า A900 และคล้อยไปด้านหลังหัวมากกว่าเท่านั้นเอง
เสียงกลองให้รายละเอียดที่ดีและแน่น แต่มวลย่านกลางจะน้อยไปนิด หนักไปทางเนื้อเสียกลาง ทำให้พลังของกลองจะลดลงไปพอสมควร ใครที่เน้นไดนามิคกลองที่ให้พลังแรงๆหนักอาจจะต้องทำใจนิดนึง เพราะมันเหมาะกับคนที่ชอบฟังรายละเอียดของกลองมากกว่าครับ แน่นอนว่าการให้รายละเอียดของกลองดีมากครับ น้ำหนักของดรัมเบสกับกลองทอมแยกต่างกันชัดเจนไม่มีกลมกลืน รวมทั้งกลองทอมแต่ละลูกก็แยกแยะออกได้ง่าย แม้แต่เพลงที่ไม่ใช่เพลงระดับ Audiophile ก็ยังฟังออก ไม่ใช่ว่ากลองไม่มีน้ำหนักนะครับ น้ำหนักเรียกได้ว่าครบถ้วนแต่มันไม่หนักหน่วง แบบกระแทกกระทั้นแรงๆเลยไม่เหมาะกับคนเน้นฟังเพลงมันส์ๆมากกว่า
เสียงเบสนี่ตอนก่อนเบิร์นนี่แทบไม่มีเลยนะครับ เพราะออกมาน้อยมาก แต่พอเบิร์นได้ที่เบสก็ออกมครบเครื่องเลยครับ ตรงช่วงหัวโน้ตหรืออิมแพคของเบสทำได้ดีออกมาชัดเจนและมีจังหวะที่ดีมากครับ เบสกระแทกด้วยน้ำหนักที่กำลังดี มีเยอะไม่ล้น หรือน้อยเกินไป ส่วน middle เบสที่ชัดเจนดีมากครับ เนื้อแน่นดีมากและการไล่ melody เบสก็ทำได้ชัดเจนดีมาก อาจจะไม่ชัดถึงขั้นที่ E500 ทำได้ แต่ในระดับหูฟัง fullsize ด้วยกันแล้ว ในโซนราคาใกล้ๆกันก็ถือว่าอยู่ในระดับบนๆแล้วครับ กับการให้ middle ได้ขนาสดนั้น ส่วน deep bass เองก็มาครบถ้วนและลงได้ลึกดีมากครับ เบสแบบนี้ผมชอบมากเพราะไม่บวมจนฟังแล้วปวดหัว ทั้งยังให้ความชัดเจนและให้ dynamic ที่ดี แม้แต่ไลน์กีต้าร์เบสยังได้ยินชัดมากๆ นี่ผมลองกับเพลงตลาดๆแถมเป็นเพลงแบบ mp3 ที่ 128k ด้วยซ้ำนะครับ ถ้าเป็นระดับ Audiophile นี่ไม่ต้องคุยกันเลยทีเดียว
ภาพรวมของหูฟังจะให้แนวที่คล้ายๆ A900 คือให้มิติที่ลึก soundstage กว้าง แต่ image จะใหญ่กว่า A900 และให้เบสที่ดีกว่าด้วยครับ และ การไล่เสียงจากซ้ายไปขวาหรือขวามาซ้ายก็ทำได้ดีมากๆ ไม่มีช่วงหลุดแหว่งหายหรือโดดข้ามช่วงเสียงที่กำลังไล่ทอดตัวไป เสียงแหลมคมชัด กลางดีแต่ไม่หวานเท่า a900 และเบสน้ำหนักพอเหมาะพอเจาะ
ส่วนการใส่สบายพอๆกันเพราะ pad ของ Fischer FA-003 นิ่มมากๆ ทำให้การใส่สบายไม่รู้สึกกดทับแต่อย่างใด ส่วนเรื่องกันเสียงภายนอกก็ถือว่าทำได้ดีพอใช้ครับ อย่างน้อยๆก็ลดเสียงรอบข้างลงได้ step นึงแต่ไม่มั่นใจเรื่องเสียงลอดจากหูฟังนะครับว่ามีทะลุออกไปบ้างหรือเปล่า แต่คิดว่าต่อให้แบบ close ดีแค่ไหนถ้าไม่ใช่หูฟังที่หนีบจน pad บี้แน่นไปกับหูเหมือนพวกหูฟัง Studio Monitor ทั้งหลาย มันก็มีโอกาสเสียงลอดบ้างแต่ไม่เยอะครับ ผมว่าเป็นหูฟังที่เหมาะกับฟังแนว jazz , pop ,classic , Bossa คือเพลงอะไรช้าๆใสๆ เบสนิ่งๆ เสียงกลางร้องแบบเย็นๆ เหมาะหมดครับ แต่ไม่ค่อยเหมาะกับ Progressive Rock , Metal Rock ถ้าถามว่าฟังได้หรือเปล่า มันก็ฟังได้แหละครับ แต่ sound อาจจะไม่ถูกใจคอแนวนี้เท่าไหร่ ผมว่ามิติมันดีเกินไปที่จะฟังแนวพวกนี้ครับ แล้วก็ค่อนข้างเลือก source นะครับ จริงๆมันต่อตรงกับ iPOD ก็ขับได้สบายๆ แต่คุณภาพเสียงนี่ถ้าผ่านเครื่องเสียงดีๆหรือว่า DAC ระดับ Maverick ขึ้นไปก็จะยิ่งดีมากๆครับ ผมว่าตัวนี้คุ้มกว่าซื้อ A900 ซะอีกในกรณีไม่ได้ติดในในหวานเย็นของ A900 นะครับ เพราะภาพรวมดูดีกว่าหมดเลยครับ ส่วนราคาผมไม่แน่ใจเพราะไม่ถามมาใครสนใจก็ลองไปสอบถามกันดูนะครับ
3 ความคิดเห็น:
หายไปนาน
หายไปนาน
พอดีผมไม่ค่อยว่างพิมพ์น่ะครับ แ่ต่หลังจากนี้จะพยายาม update review เยอะๆ :D
แสดงความคิดเห็น