Maverick
D1 จริงๆก็ออกวางตลาดมานานแล้ว
แต่ผมก็ไม่มีโอกาสหยิบเอามา review เพราะมันเป็นเรื่องยุ่งยากมากในการจะ review
DAC เนื่องจากรายละเอียดปลีกย่อยในการ
set ระบบมันค่อนข้างเยอะครับ แค่ player ในเครื่องเปลี่ยนเสียงก็เปลี่ยน
ไม่นับเรื่องของ source ที่ใช้เป็นตัวหลักในการต่อด้วยครับ ก็เลยไม่ค่อยอยากจะ review เท่าไหร่
กลัวไม่ตรง แต่เค้าส่งมาให้ดอง เอ้ย ลอง…ก็เลยเอาซะหน่อย
พูดตามตรงผมว่า Maverick D1 เป็นหนึ่งใน DAC
ที่ผมว่าคุ้มเงินที่สุดแล้ว
เพราะให้มาแทบจะครบจบกระบวนความ เพราะโดยตัวมันเองก็เป็น DAC ที่มีภาค Headphone
Amp
แล้วยังทำหน้าที่เป็น Pre Amp. ที่มาในรูปแบบ Hybrid เพราะมีภาคหลอดมาผสมผสานกับ
solid-state แถมยังรองรับ analog
in ทั้งทางภาค
RCA และภาค Line-in ที่ปรกติไม่ค่อยจะเห็นมีใน DAC ตัวไหน
เรียกว่ามากันแบบจัดเต็ม จริงๆถ้าจะให้เด็ดต้องต่อลำโพงแบบพวก Int. Amp ได้ด้วย
ถึงจะสุดยอดครับ แต่ผมว่าราคาคงโดดไปเยอะและดูจะเกินความเป็น DAC ไปนิดนึง
ตัวที่อยู่กับผมมีทั้งสองรุ่นคือ D1 รุ่นธรรมดา
กับ D1 รุ่น Premium ซึ่งข้อแตกต่างระหว่างสองรุ่นนี้คือตัว Premium
มีการเปลี่ยน
opamp เป็น opa627au ซึ่งก็เป็นตัวที่ค่อนข้างหายากในบ้านเรา
และเห็นว่าเค้าทำ Match Pair มาแล้วด้วย เพราะต้องใส่ถึง 2 ตัว
ซึ่งก็จะแยกกันควบคุมทางซ้ายและขวา แถมยังเปลี่ยนหลอดใหม่เป็นหลอด NOS GE
JAN 5670W คือพูดตามตรงว่าเค้าใส่มาให้ครบโดยไม่ต้องมานั่งโมเองแล้ว
เพราะโดยปรกติรุ่นนี้คนซื้อไปมักจะไปหาหลอด หรือหา opamp มาใส่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ซึ่งมันสนุกตรงนี้แหละครับ เพราะเปลี่ยนนิดๆหน่อยๆ คุณภาพเสียงก็ดีขึ้นผิดจากเดิม
รุ่นนี้เลยของหมดบ่อยมาก ( หมายถึงตัวธรรมดานะครับ )
รูปลักษณ์ภายนอก
แน่นอนว่ารูปร่างภายนอกก็น่าจะชินตากันบ้างแล้วสำหรับหลายๆคนเพราะมันออกมาเป็นปีแล้ว
ภายนอกด้านหน้าก็ดูค่อนข้างแข็งแรงและดูดีมีชาติตระกูล
พูดตามตรงคือดูดีกว่าเพื่อนที่อยู่ในระดับราคาใกล้ๆกัน ช่อง Input ก็จัดมาให้แบบครบถ้วน
คือมีทั้ง Optical , Coaxial และ usb ซึ่งตาม spec แล้ว usb จะรองรับ bit
rate ได้แค่ 16bit/48k ซึ่งเป็นข้อจำกัดของ chip controller ในส่วนที่ควบคุม
usb แต่เราสามารถทำให้มันรองรับข้อมูลระดับ 24bit/96k ได้ ด้วยการลง
usb driver ใหม่เพื่อให้รองรับ bit-perfect และใช้ร่วมกันโปรแกรมอย่าง
Jriver หรือ Foobar เพื่อให้ใช้งาน 24bit/96k ได้ และเท่าที่ผมทดลองก็ค่อนข้าง
stable ด้วย ถ้าเราไม่ไปเร่ง buffer มันมากเกินไป
ส่วนรายละเอียดในการ set ลองอ่านที่ web นี้ได้เลยครับ
http://dl.dropbox.com/u/464376/head-fi/mav_condensed/usb_driver/oldpost.html
ช่องต่อ output จะมีช่อง RCA
ให้
2 ช่อง ช่องนึงจะเป็น Tube Pre Out อีกช่องจะเป็นผ่าน
Solid State และทางด้านหน้าเครื่องจะมีช่อง Headphone Out ให้ด้วย
แต่ภาคหลอดจะไม่ทำงานทางด้าน Headphone Out นะครับ
แต่ใช้ได้ทาง Tube Pre Out เท่านั้น ดังนั้นถ้าอยากฟังเสียงของหลอดผ่านหูฟัง
ต้องหา Headphone Amp มารับทางด้าน Tube Pre Out เท่านั้น ดังนั้นมันจึงมี Maverick A1 มาทำหน้าที่ตรงนี้นั่นเอง
ข้อเสียของ Maverick D1 รุ่นเดิมคือที่
Volume เวลาหมุนจะมี noise กวนด้วย เสียงจะดังแค่กๆแซ่กๆ เบาๆ
เข้าใจว่าล๊อตหลังทั้งหมดน่าจะได้รับการแก้ไขแล้ว เพราะตัว Maverick
Premium เองก็ไม่มีอาการที่ว่าแล้ว แถม usb port ที่แสนหลวมก็เปลี่ยนมาเป็นรุ่นที่กระชับขึ้นกว่าเดิมด้วยครับ
และแก้ Screen หน้าเครื่องให้สีขาวขึ้น และตัวถังด้านบนตรงส่วนระบายอากาศจะลดช่องระบายอากาศลงจากปรกติข้างละ
14 เส้น เหลือแค่ 10 เส้น นอกนั้นก็ยังคงเหมือนเดิมครับ แต่ระหว่าง D1
ธรรมดากับรุ่น Premium เราจะดูภายนอกไม่ออกเลยครับ ต้องส่องๆข้างในเอา เพราะ opamp จะอยู่ทางขวา
ถ้าเป็น Premium ตัว opamp จะเป็นแผ่นปริ๊นท์สีแดงๆ แต่ถ้าเป็นรุ่นธรรมดาจะเป็น opamp โดดๆครับ
ตัวหลอดก็ต้องเห็นเป็น GE screen สีเขียวอ่อนด้วย
เรื่องของเสียง
เสียงของ Maverick
D1 กับ
Premium จะมี signature ที่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่ Maverick D1
Premium ได้มีการเปลี่ยน opamp ทำให้คุณภาพเสียงกระโดดขึ้นกว่าเดิมพอสมควร
เพราะโดยปรกติ Maverick D1 จะให้ image ของชิ้นดนตรีที่เล็กกว่า
DAC หลายๆตัว แต่ Premium ทำให้ image ใหญ่ขึ้น
ดูสมจริงมากขึ้น และขุดเอาเสียงย่านต่างๆให้เปิดออกมามากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะ impact
ของแต่ละย่านที่จะออกมาได้ชัดเจนเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าเดิม
เรียกได้ว่าใน Step ของ Volume ที่เท่ากัน ตัว Premium จะให้เสียงที่ดังกว่าและ dynamic ที่ดีกว่าครับ
แน่นอนว่าจุดเด่นของ
Maverick D1 คือเสียงย่านสูง เพราะให้เสียงย่านสูงที่คมชัดตามสไตล์ของ DAC ยุคใหม่ที่เน้นความคมชัดเป็นหลัก
แต่แม้จะชัดแต่ก็ไม่กระด้างหรือแสบจนกัดหู
เสียงสูงที่ได้ค่อนข้างเป็นธรรมชาติฟังแล้วชัดเจนลื่นหู แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งมวลเสียงให้บางลงไป
เพราะได้มวลที่กำลังดีพอเหมาะ ยิ่งการได้ opa627au มาเสริมทัพ
ก็ทำให้มวลออกมาดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเสียงสูงของ D1 Premium จะชัดสดสว่างใสมากๆ
แต่ปลายเสียงจะไม่ทอดตัวพริ้วหวาน เพราะเป็น DAC ที่เน้นความคมชัดเป็นหลักตามลักษณะของต้น
source ที่ดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ใช้งานภาคหลอดด้วย จะทำให้ปลายแหลมทอดตัวออกไปได้ไกล และสว่างมากขึ้น
เสียงจะยิ่งโปร่งขึ้น เสียงจะไม่ได้อุ่นนุ่มนวลหนานุ่มตามความเข้าใจของคนที่ไม่เคยเล่นหลอด
เพราะโดยปรกติหลอดเองก็มีลักษณะเสียงที่แตกต่างกัน
มีทั้งเสียงจัดจ้านฟังแล้วระคายหู หรือเสียงสดสว่างใสแบบที่ใช้ใน Maverick
D1 Premium และเสียงอุ่นกลางหนา ตามแบบฉบับที่หลายๆคนเข้าใจ
ซึ่งของพวกนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบเพราะ Maverick D1 ค่อนข้างเปิดกว้างต่อการ
upgrade มากกว่า DAC ตัวอื่นๆ
เสียงเบสค่อนข้างแน่นมากๆ
เบสมาเป็นลูกเป็นตัวเป็นตนชัดเจน ลูกเบสของ Maverick D1 Premium จะมาค่อนข้างครบเครื่อง
เรียกว่ามาหมดทั้ง impact , middle เบส และ Deep
เบส
ซึ่งตัว deep เบสเองก็ไม่ได้ลากลงเอื่อยเฉื่อยจะทำให้เบสบวม เป็น Deep
ลงได้ลึกแต่ไม่บวม ส่วน middle เบสมีให้ระดับพอเหมาะ
แต่ไม่ถึงกับแน่นเป็นเนื้อเต็มๆ ส่วนนึงอาจจะเพราะหูฟังผมเองก็ไม่ได้เน้น middle
เบสเท่าไหร่
มันก็เลยไม่ค่อยชัดมาก แต่ถ้าเป็นหูฟังที่ middle เบสดีๆ
ก็น่าจะทำได้แน่นและมาได้เต็มๆกว่านี้
เสียงกลางให้รายละเอียดที่ดีมากๆ
โดยเฉพาะการให้รายละเอียดเสียงกลองที่ทำได้ดี
ช่วงที่เคาะสแนร์เองก็รู้ได้ว่าเป็นลูกสแนร์กระทั่งเสียงของโซ่สแนร์ก็ยังได้ยิน
เวลาไล่ตีไปบนทอมแต่ละลูกก็ให้รายละเอียดเสียงทอมแต่ละลูกได้ดีไล่เป็นลูกได้ชัดเจนและแจงได้ดีจนเห็นภาพ
ย่านกลางในช่วงของเสียงร้องจะมีเสียงย่านสูงตามมาเกาะอยู่เล็กน้อย
เสียงร้องเลยจะให้ความสดและชัดมาก ไม่จัดบาดหู แต่การแยกชิ้นดนตรีก็ยังคงสู้ DAC
ระดับที่สูงกว่าอย่าง
Dr. DAC2 DX ไม่ได้ แต่ถ้าเป็น DAC ที่อยู่ในราคาใกล้เคียงจนถึงแพงกว่ากันไม่มาก
สามารถชนกันได้สบายครับ ข้อดีของ D1 Premium คือกำลังขับที่ดีกว่า
Dr. DAC2 DX และเสียงไม่จัดจ้านเท่า Teac UD-H01 และให้กำลังขับที่ดีกว่าของ
D1 เดิมๆซึ่งก็ได้ชื่อว่ากำลังขับดีอยู่แล้ว
โดยรวมผมยังคงให้
Maverick D1 Premium เป็น DAC ที่อุดมความคุ้มค่ากว่า DAC ในระดับราคาใกล้ๆกัน
และยังเหมาะกับคนชอบคุ้ยแคะแกะโมเป็นอย่างมาก แม้เค้าจะจัดเต็มมาให้ทั้งหลอดและ
opamp แล้ว แต่ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า ความซนไม่เข้าใครออกใคร
ได้ไปก็อดจะไปจัด opamp มาเปลี่ยนเล่นไม่ได้อยู่ดี
เหมาะกับมือใหม่และมือกลางๆที่กำลังหา DAC คุ้มๆซักตัว ตัวนี้ให้ได้ครบแล้วครับ
3 ความคิดเห็น:
รีวิวนี้จะทำให้ผมเสียตังในอีก 2-3วันนี้เเล่ะ อิอิ
มีวิธีดูข้อแตกต่างระหว่าง D1 รุ่นธรรมดา กับ D1 รุ่น Premium ไหมครับ (รูปลักษณ์ภาพนอก)
ภายนอกไม่แตกต่างครับ ต่างที่ภายใน ถ้าซื้อจากร้านไม่ค่อยมีปัญหาครับ แต่ถ้ามือสองก็ต้องขอเค้าดูข้างในเพื่อความชัวร์
แสดงความคิดเห็น