วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

< Review > Monster N-Pluse ความมันส์ที่พกพาได้

Monster N-Pluse








ชื่อเสียงของ Monster จากอดีตที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านสายเคเบิ้ล จนมาปัจจุบันก็กลายมาเป็นผู้นำทางด้านหูฟังสไตล์แบบ “แฟชั่นเฮดโฟน” แทน และก็ได้ออกหูฟังมามากมายหลายรุ่น ล่าสุดก็เป็นรุ่น N-Pluse ซึ่งเป็นหนึ่งในซี่รี่ย์ N-Tune ที่ออกมาได้ซักพักใหญ่ๆแล้ว

ตัว N-Pluse ได้รับการออกแบบโดย Nick Canon ซึ่งก็เป็นนักร้องและพิธีกรชื่อดังทางฝั่งอเมริกา จริงๆแกก็ออกแบบซีรี่ย์ N-tune ทุกตัวอยู่แล้ว ตัว N-Pluse จึงถือเป็นรุ่นล่าสุดที่คลอดออกมาในภายหลัง ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีรุ่นที่เป็น in-ear และ Semi-fullsize และก็ค่อนข้างได้รับความนิยมเพราะดีไซน์สวยแถมราคาไม่แพงอะไร ส่วนเสียงก็ตามราคาครับ


สำหรับตัวนี้จะค่อนข้างพิเศษกว่าเพื่อน เพราะถือเป็นหูฟังในลักษณะแบบ Dj Style ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานในชีวิตประจำวันได้ เพราะตัวสายจะมีไมค์และปุ่มรับสายมาให้ด้วย สไตล์ของมันเลยจะใกล้เคียงความเป็น Portable Fullsize มากๆ แต่ก็มีขนาดตัวและสายที่ใหญ่เกินกว่าจะไปจัดเข้า Category นั้นได้ ก็เลยยังคงเป็น Fullsize ธรรมดาเหมือนเดิม

ตัวนี้เป็นอีกตัวที่ทาง Dynamic ส่งมาให้ผมเทสนะครับ ตัวก่อนหน้านี้ review ไปแล้ว ก็มีตัวนี้และยังเหลือ in-ear อีกตัว ก็คงต้องรอตามลำดับคิวต่อไป ยังไงก็ขอขอบคุณที่ส่งมาให้ผมดอง เอ้ย ให้ผมลองตั้ง 3 ตัวทีเดียวครับ :D








รูปลักษณ์ภายนอก



ตัว Packaging ของ Monster ก็ยังคงดูดีและมีคลาสเหมือนเดิม ลักษณะกล่องจะคล้ายๆของ Diesel Vektor แต่ขนาดใหญ่กว่ามากๆ ข้างในจะมีหูฟังขนาดใหญ่นอนคุดคู้อยู่ น่าเสียดายที่ของแถมไม่มีเคสใส่หูฟังมาด้วย มีเพียงถุงผ้าสำหรับใส่หูฟังมาแทน

ตัวงานของหูฟังดูแล้วดีสมราคาค่าตัวมากๆครับ  พูดตรงๆคือผมว่ามันสวยมากที่เดียว จริงๆมันมีสีขาว
ด้วย และโดยปรกติผมจะชอบสีขาวมากกว่าเพื่อน แต่ลำพังสีดำนี่ก็สวยมากๆแล้ว แถมดูแข็งแรงและงานดูดีกว่า Dr.Dre Studio ด้วยซ้ำครับ ไม่ป๊องแป๊ง งอกแงก เหมือนพวกนั้นด้วย ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่เห็นลักษณะของวัสดุโดยเฉพาะตรงก้าน Headband คนที่มีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับสมัยหูฟัง Dr.Dre Studio ตอนออกมาใหม่ๆ อาจจะกังวลเรื่องความทนทานตรงจุดนี้

แต่ขอให้วางใจได้ครับ หลังๆ Monster ได้แก้จุดอ่อนตรงนี้ได้หายขาดแล้ว ตัวก้านทนทาน ทนไม้ทนมือ สามารถบิดไปมาได้สบายๆ แต่การใส่ออกจะไม่ค่อยสบายหูเท่าไหร่ เพราะหูฟังจะค่อนข้างหนีบหัวพอสมควร แต่ก็ไม่รัดเจ็บเท่าตัว Beat Mixr นะครับ จริงๆเค้าจำเป็นต้อง design เป็นแบบนี้เพราะตัวหูฟังค่อนข้างมีน้ำหนักระดับนึง เพื่อไม่ให้หลุดหัวจากการใส่ จึงต้องทำให้กระชับรับกันกับหัวนิดหน่อย ถ้าใส่ไปซักพักก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดนะครับ เพราะตัว PAD มีขนาดค่อนข้างหนาและใหญ่แถมนิ่มสบาย เวลาใส่จึงรู้สึกแค่ว่ามันหนีบๆเท่านั้น สำหรับใครที่มองหาหูฟังใส่สบายๆให้ผ่านได้เลยครับ รับประกันความไม่สบาย แต่ถ้าใครอยากได้หูฟังใส่เอามันส์ก็รับประกันความมันส์ให้เลย

ด้วยความที่เป็นหูฟังลักษณะแบบ DJ Style ตรงตัวก้านจึงมีจุดสำหรับบิดให้ Housing หมุนไปมุม
อื่นได้ จริงๆมันออกแบบมาเพื่อให้ DJ สามารถฟังเพลงจากใน cue ข้างนึงและฟังเพลงที่เปิดจากลำโพงได้ด้วย คนทั่วไปอาจจะมองว่าไม่จำเป็นเพราะในชีวิตประจำวันเราไม่จำเป็นต้องไปบิดหูฟังเพื่อหลบหูเราแต่อย่างใด แต่ก็อาจจะเหมาะกับบางคนที่เวลาคุยโทรศัพท์ชอบที่จะได้ยินเสียงตัวเองด้วย และพวกหูฟังแบบ Full-size ส่วนมากก็ไม่ได้ออกแบบมาให้ได้ยินเสียงตัวเองได้ถนัด การบิดหูฟังเพื่อเปิดหูไว้ข้างนึงก็จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้สบายๆ






เรื่องของเสียง


Soundstage ของ N-Pluse ไม่ได้กว้างมากเท่าที่ผมคาดไว้ แต่ก็ไม่ได้แคบจนทำให้อึดอัด การวางมิติเสียงกลางจะค่อนข้างลึกไปทางด้านบนหัวพอสมควร มิติที่ด้านหลังหัวมีมาให้บ้างแต่ไม่ถึงกับลึกมาก ลักษณะมิติจะออกเป็นแนวทรงกลมที่เน้นขึ้นไปทางด้านบนหัวเรา การแยกชิ้นดนตรีทำได้ในระดับกลางๆครับ ไม่ถึงกับตีกันจนนัวแต่ก็ให้ระยะของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นที่ค่อนข้างใกล้กันหน่อย ส่วนการ focus image แต่ละชิ้นก็ทำได้ไม่เลวครับ ถ้าชิ้นดนตรีที่อยู่ห่างๆหน่อยจะดูบางๆและ focus ได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่พวกเสียง vocal และชิ้นดนตรีที่วางตำแหน่งที่ใกล้เข้ามาหน่อยจะ focus ได้ดีและค่อนข้างชัดครับ ตัว image จะใหญ่หน่อย น่าจะถูกใจคนที่ชอบ image ใหญ่ๆ

เสียงสูงชัดเจนดีมาก แต่ออกกระด้างเล็กๆ และในส่วนของ impact หรือหัวโน้ตย่านสูงมันดูกลืนกับเนื้อเสียงย่านนี้ไปหน่อย รวมถึงปลายที่ roll off ค่อนข้างไว แต่ก็เข้าใจว่ามันออกแบบมาโดยยึดเอาสไตล์ของ DJ ลงมาใส่ ทำให้ลักษณะเสียงต่างๆเลยจะเหมาะกับแนวเพลงสไตล์ทางนั้น เพราะดูจาก signature ย่านต่างๆก็จะชัดเจนว่าถ้าให้ DJ เอาไปใช้ รับประกันว่า Happy มากกว่าเพื่อน

เสียงกลางจะไม่ได้เน้นมวลมาก จะหนักไปทางเนื้อเสียงกลางที่ชัดเจน และให้เนื้อที่เกือบจะดี ไม่สาก ไม่หยาบกระด้าง รูปทรงของ image ออกมาดีมีลักษณะไปทาง 3 มิติ ไม่แบนบี้ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบเพราะรูปทรงยังไม่ค่อยสวย

แต่จุดเด่นของตัวนี้ก็ยังคงเป็นเสียงกลองซึ่งก็ถือเป็นจุดเด่นของทาง Monster อยู่แล้วที่มักจะออกแบบให้หูฟังแสดงเสียงกลองที่แน่นและทรงพลัง กลองทอมแต่ละลูกทั้งแน่นให้รายละเอียดของน้ำหนักได้ดี ฟังแล้วได้อารมณ์ของความหนักหน่วง รวมไปถึงจังหวะของกระเดื่องที่กระแทกแต่ละครั้งก็รู้สึกถึงน้ำหนักที่ดีมากๆ แต่ไปเสียนิดหน่อยตรงตระกูล Crumble ที่เสียงออกบางกว่าเพื่อน ซึ่งก็เป็นปัญหาทั้งกับ แฉ และ ไฮแฮท แม้จะให้เสียงที่ได้ยินชัดแต่ออกบางและดูไร้ซึ่งน้ำหนัก แตกต่างกับชุดทอมที่ทรงพลังมากๆ ถ้ามาฟังเพลงเฉยๆแบบไม่นั่งจับผิดมันก็จะไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่คนที่ซีเรียสเรื่องรายละเอียดกลองอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ส่วนเบสนี่หายห่วงได้ครับ ขึ้นชื่อว่า Monster เรื่องเบสย่อมจัดให้เต็มๆ เบสที่ได้ออกมาแน่นดีมาก
แถมมวลเบสไม่ได้ออกมาเว่อร์เยอะมากจนฟังแล้วล้น เบสออกมาในระดับที่ดีทีเดียวครับ ตรง impact ให้แรงกระแทกที่ดีมาก mid เบสก็ออกมาชัดและให้เมโลดี้เบสที่ชัดเจนดี แต่อาจจะเนื้อบางไปนิดหน่อย ยิ่งเวลาฟังเพลงที่อัดแยกพวกกีต้าร์เบสดีๆจะรู้สึกว่ามีเมโลดี้แต่ขาดน้ำหนัก ส่วน deep bass มีให้แบบไม่ต้องห่วงแต่ก็จะ roll off ไวนิดหน่อย ไม่ได้ลากยาวลงลึกซึ่งก็เป็น signature ของหูฟังประเภทนี้อยู่แล้ว  ตัว mid เบสกับ impact เบสนีให้ image ที่แยกออกจากกันชัดเจนนะครับ ไม่เหมือนพวกหูฟังถูกๆที่ัมักจะรวมๆเป็น
ก้่อนเดียวกันหมด

ภาพรวมของเสียงจะค่อนข้างออกแนว live หน่อยๆ อารมณ์คล้ายๆกำลังฟังเพลงร้องสดๆ ในร้านอาหาร หรือ ผับ ที่มีระบบการจัดการของเสียงที่ดีหน่อย ไม่ค่อยออกแนวฟัง concert เท่าไหร่  เพราะไม่ได้วางมิติให้ดูยิ่งใหญ่ได้ขนาดนั้น โดดเด่นที่เสียงกลอง และ เสียงร้อง ที่ชัดและน้ำหนักดี รวมไปถึงเบสที่ทำออกมาได้ไม่เว่อร์ ไม่ล้น และไม่กวนเสียงย่านอื่น แต่คุณภาพของเบสยังไม่ได้อยู่ในขั้นที่จะเรียกว่าดีมากๆได้ จริงๆถ้าดูจากราคา ผมว่าได้ขนาดนี้ก็โอเคแล้วครับ ก็อยู่ในเกรดระดับราคาของมันแล้ว น่าเสียดายที่เสียงย่านสูงน่าจะให้น้ำหนักออกมาได้ดีกว่านี้อีกซักหน่อย และให้มวลเสียงกลางอีกซักนิด มันก็จะเป็นหูฟังที่โดดเด่นที่สุดในราคานี้เลยครับ





ไม่มีความคิดเห็น: