Ferrari Scuderia P200
ชื่อ Logic3 น่าจะไม่เป็นที่คุ้นเคยในบ้านเรา แต่ตัว Logic3 เองก็ค่อนข้างจะเป็นบริษัทใหญ่ทางฝั่งประเทศอังกฤษ โดยปรกติก็จะทำ Accessory สำหรับมือถือ และ อุปกรณ์สำหรับนักเล่นเกมส์ แน่นอนว่าสินค้าหลักๆจะเป็นพวกเคส , Docking และจอยเกมส์ ซึ่งก็จะมีหูฟังบ้างแต่จะเป็นพวก Headset มากกว่า แต่เมื่อถึงจุดที่จะต้องก้าวไปสู่จุดที่สูงขึ้น ทาง Logic3 จึงตัดสินใจที่จะลงมาลุยในตลาดที่เป็น Segment ของ Hi-End Fashion ดูบ้าง แน่นอนว่าเจ้าตลาดใน segment นี้ก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล นั่นก็คือ “Beat By Dr.Dre” นั่นเอง การจะเอาชนะ Beat ในขณะที่ตัวเองยังเพิ่งตั้งไข่มันจึงเป็นเรื่องยาก เพราะไม่มีอะไรเป็นแรงดึงดูดให้คนมาสนใจในสินค้าของตัวเองได้ ดังนั้นทาง Logic3 จึงฟอร์มทีมพิเศษเพื่อผลิตหูฟังระดับ Hi-End และตัดสินใจเลือกเอาแบรนด์ที่ทุกคนบนโลกนี้รู้จักกันดีนั่นก็คือ “Ferrari” มาเป็นสินค้าตัวแรกเพื่อสร้าง Brand image ให้กับ Logic3 โดยเฉพาะ
ผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนมากๆที่เมื่อเอ่ยถึง Ferrari แล้วจะบอกว่าไม่รู้จัก ด้วยความเป็นรถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ที่คงความยิ่งใหญ่มาอย่างช้านาน แม้จะมีคู่แข่งอยู่หลายแบรนด์ที่ประกาศตัวว่าเป็นรถสปอร์ตสุดหรู แต่ Ferrari ก็เป็นสุดยอดรถสปอร์ตที่ยังตราตึงอยู่ในใจของทุกๆคนอยู่ดี
หลังจากที่ปล่อยให้ Dr. Dre Bear Studio(ปลอม)จากเซิ่นเจิ้น แอบเอาแบรนด์ Ferrari ไปแปะเอาเองแล้วส่งมาตีตลาดจนขายกันเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ก็ถึงคราว Ferrari เองได้ลงมาแสดงศักยภาพและรูปลักษณ์ของความเป็น Ferrari อย่างแท้จริง งานนี้เลยต้องเป็นหน้าที่ของบริษัท Logic3 ที่จะรังสรรค์สุดยอดผลงานที่เหมาะสมกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง Ferrari
การผลิตหูฟังครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทีม Ferrari ซึ่งได้เข้ามาช่วยเหลือตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ แนวเสียง และอื่นๆอีกมากมายเพื่อให้กลายเป็นหูฟังที่คู่ควรกับแบรนด์ Ferrari อย่างแท้จริง หูฟังของ Ferrari เองจะถูกแบ่งออกเป็น 2 series ซึ่งก็จะแบ่งตามวัตถุประสงค์ของการดีไซน์เป็นหลัก โดยจะแยกออกเป็น CAVALLINO COLLECTION ที่เน้นการออกแบบเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวรถ Ferrari และ SCUDERIA COLLECTION ที่เน้นให้เห็นถึงภาพรวมและสนามแข่งรถเป็นหลัก และรุ่นที่ผมได้มา Review ในวันนี้ก็เป็นรุ่น SCUDERIA P200 นั่นเอง
รูปลักษณ์ภายนอก
ในการออกแบบ SCUDERIA COLLECTION นั้น จะเป็นงานดีไซน์เพื่อให้สามารถสัมผัสถึงเหตุการณ์ในสนามแข่งประหนึ่งว่าเราเป็นสตาฟของ Ferrari เลยทีเดียว ดังนั้นดีไซน์ที่เลือกนำมาใช้ก็ต้องเป็นดีไซน์แบบหูฟังที่ใช้กันใน Pit Crew จริงๆ แม้บางคนอาจจะเถียงว่าหูฟังใน Pit Crew ส่วนใหญ่เป็น Headset แถมเชยระเบิด แต่ด้วยการออกแบบของ Ferrari ก็สามารถเปลี่ยน “ความเชย” ให้เป็น “ความเฉียบ” จนอยากได้เป็นเจ้าของตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยทีเดียว
Packaging ภายนอกก็เป็นตามสไตล์สมัยนิยมเหมือนที่ผมเห็นในหูฟังแบบ Hi-End Fashion หลายๆแบรนด์ คือเป็นกล่องแข็งแบบเคลือบด้าน ข้างในเป็นลักษณะถาดโดยใช้วิธึดึงหูเกี่ยวด้านบนเพื่อสไลด์เอาส่วนด้านในออกมา แน่นอนว่า Packaging ดีไซน์แบบนี้ผมเคยประทับใจสมัย Dr.Dre Beat Studio ออกมาใหม่ๆ แต่มาถึงตอนนี้มันกลายเป็นใครๆก็ใช้แบบเดียวกันกับที่ผู้ผลิตมือถือต่างก็พากันลอกเลียนแบบ Packaging ของ iPhone โดยส่วนตัวผมว่าการออกแบบ Packaging ที่ห่วยที่สุดผมยกให้ Audio-Technica เลยครับ ของแพงๆเกือบ 3 หมื่น ดันใช้กล่องกระดาษบางๆ ข้างในไม่อยากพูดถึง แกะหูฟังเสร็จปุ๊บ ขยำกล่องทิ้งได้ทันที แต่ที่ออกแบบได้ดีที่สุด ผมยกให้ Sennheiser เลยครับ ดูอย่างรุ่น HD650 ถึงอยากจะขยำก็ขยำไม่ลง มันดูดีดูหรูจนกล่องยังเอามาไว้ประดับบ้านได้สบายๆ
ตอนเห็นรูปรุ่นนี้บอกตามตรงว่าผมเฉยๆนะ มันก็ดูดีแต่ก็ไม่ได้มีอะไรดึงดูดใจ ต่อพอเปิดกล่องมาเจอของจริงๆนี่ถึงกับอึ้ง เพราะมันส่วนตั้งแต่ Case ใส่แล้วครับ ตัว Case เลือกเอาลายเคฟล่าร์มาเป็นพื้นแล้วใส่เอาตรา Ferrari ไว้ตรงกลางอย่างสวยงาม แถมยังมีหูหิ้วที่ทำได้แข็งแรงมากๆ ปรกติผมไม่ค่อยเห็นคนทำเคสแล้วมีหูหิ้วแบบนี้กันเท่าไหร่ น่าเสียดายที่ไม่ยอมเอาคาร์บอนเคฟล่าร์จริงๆมาทำ ไม่งั้นจะสวยยิ่งกว่านี้อีกครับ แต่อย่างว่า เคฟล่าร์แท้มันแพงและยุ่งยากในการทำเป็น case มาก ได้แค่นี้ก็ดูเนียนตาแล้วครับ
ในส่วนของหูฟัง P200 เอง จริงๆเวลาจับมันค่อนข้างมีน้ำหนักนะครับ คือไม่ถึงกับหนักมากแต่ให้ความรู้สึกเหมือนมันมีราคา ไม่ได้เบาโหวงเหมือน Dr. Dre Beat Studio แถมยังเปราะบางด้วย ในขณะที่ P200 แข็งแรงทนทานมากกว่ามาก ดูได้จากส่วนที่เป็นก้านปรับระดับ เล่นใช้เหล็กอย่างหนากันเลยทีเดียว การปรับระดับก็ปรับการแบบไม่มีตัวล๊อคระดับนะครับ ปรับเหมือนกับของ Grado เลย แต่ให้ความรู้สึกฝืดและนุ่มนวลกว่า Grado
ตัว PAD เองออกแนวนุ่มและแน่น ส่วนหนังหุ้ม PAD ใช้หนังแบบค่อนข้างหนาดูแล้วไม่เปื่อยง่ายๆแน่ๆครับ แต่ด้วยรูปทรงของ PAD ที่ออกเป็นสี่เหลี่ยม ผมเลยไม่มั่นใจว่าจะเปลี่ยน PAD ได้หรือเปล่าเพราะการเปลี่ยน PAD ทรงนี้ค่อนข้างยากกว่าแบบกลมอยู่เล็กน้อย แต่โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าตรงส่วน PAD น่าจะมีตามออกมาในภายหลังนะครับ
สายของ P200 เป็นสายแบบหุ้มผ้าถักและสามารถถอดสายได้ตามแบบสมัยนิยม แต่ที่แปลกอย่างนึงคือ ตัวสายที่แถมมาในชุด โดยปรกติแล้วหูฟังทั่วๆไป มักจะให้สายมาแค่สองเส้น สายแรกจะเป็นแบบ mini-mini ธรรมดา เส้นที่สองถ้าไม่เป็น Handfree ก็จะเป็นแบบ MIC with Volume Control แต่ของ P200 ให้มา 3 เส้นเลยครับ มีครบทุกแบบให้เลือกแล้วแต่การใช้งาน อันนี้ผมไม่ค่อยเข้าใจเหตุผลเท่าไหร่ว่าทำไมต้องให้มาแบบซ้ำซ้อน เพราะ Handfree กับแบบมี Volume Control มันก็ใช้รับโทรศัพท์ได้เหมือนกัน ก็คิดซะว่าเค้าจัดมาให้คุ้มกันไปเลยในครั้งเดียวแล้วกันครับ
การใส่จะค่อนข้างกระชับแต่จะรู้สึกถึงน้ำหนักของตัวหูฟังที่กดลงมาด้านบนของหัวเรา จะเรียกว่าใส่สบายก็คงจะพูดได้ไม่ถนัดนัก เพราะสบายสำหรับผมคือต้องสบายในระดับเดียวกับที่ Audio-Technica ทำได้ แต่ตัว P200 ไม่ได้บีบหูเหมือนกับพวก Beat MIXR แน่นอนครับ เท่าที่ลองสะบัดหัวดูก็ไม่หลุดง่ายๆด้วย ผมถือว่าความสบายในการใส่อยู่ระดับกลางๆ ถึงไม่หนีบแต่ก็หนักหัวนิดหน่อย อันนี้สำหรับเรื่องการใส่ถ้าใครซีเรียสผมแนะนำให้ไปลองก่อนซื้อเลยนะครับ
เรื่องของเสียง
มิติของ P200 ทำได้ดีมากๆครับ แม้กระทั่ง image เสียงร้องเองก็เป็นรูปเป็นร่างดูมีมิติดีมาก ไม่มีอาการแบนราบเป็นระนาบ และวางตำแหน่งเสียงร้องไว้ค่อนข้างสูงขึ้นไปในส่วนของ Headstage ที่สำคัญสามารถรู้สึกได้ถึงตำแหน่งเสียงดนตรีที่ไล่จากจุดไกลๆที่เป็นมิติด้านลึกจนเข้ามาใกล้ตัวเรา ตำแหน่งค่อนข้างอยู่คงที่ไม่มีอาการสวิงย้ายไปย้ายมาเหมือนหูฟังถูกๆด้วยครับ แถมส่วนที่เป็นมิติหลังหัวเรา ถ้าเพลงไหนที่อัดดีๆ ก็จะลึกออกไปไกลทางด้านหลังด้วยครับ โดยเฉพาะ image ของไลน์กีต้าร์เบสที่จะชัดเจนที่สุดเรื่องอยู่ลึกๆไกลๆ
ส่วน soundstage เองก็ถือว่ากว้างใช้ได้เลยครับ แถมยังให้รูปทรงของมิติเป็นทรงแบบวงรีด้วย การแยกชิ้นดนตรีเองก็ทำได้ดีครับ ค่อนข้างขาดเลยทีเดียว แม้จะเจอเพลงที่มีชิ้นดนตรีเยอะๆและรัวซอยแบบถี่ยิบก็สามารถเอาตัวรอดได้สบายๆ อาจจะไม่ถึงขั้นพวก In-ear ที่เป็นแบบ Multi Driver แต่ด้วยศักยภาพแค่ Single Driver แถมเป็น Dynamic แต่แยกชิ้นดนตรีได้ระดับนี้ก็ถือว่าโอเคแล้วครับ ยิ่งถ้าได้ system ดีๆมาช่วยเสริมยิ่งแยกชิ้นดนตรีได้ดีขึ้นอีก โดยเฉพาะ DAC ขี้โกงอย่าง Fostex HP-P1 ที่ขึ้นชื่อเรื่องการแยกชิ้นดนตรีที่สุด ยิ่งทำให้ P200 ไปได้ไกลยิ่งขึ้น
จุดเด่นของ P200 ก็คือเสียงสูงที่ชัดมากๆคล้ายๆกับพวกหูฟังแบบ monitor แต่เสียงจะไม่แข็งแบบนั้น เสียงสูงค่อนข้างพริ้วและให้ปลายที่ทอดตัวได้ดี แต่ก็ไม่ได้ไปจนสุดเพราะตัวหูฟังออกแบบให้ฟังเพลงได้สนุก มากกว่าจะฟังเพลงให้หวานซึ้ง ดังนั้นปลายเสียงสูงเลยจะ roll off ไวหน่อย ที่สำคัญไม่บาดหูด้วยครับ แม้จะให้อารมณ์เหมือนการจูนเสียงที่เป็นลักษณะเกือบจะเป็น EQ แบบ V-Shape แต่คุณภาพเสียงสูงยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แม้จะไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ โดยเฉพาะเสียงเปียโนและเสียงของแซ็คโซโฟนที่ออกมาแบบไม่เป็นธรรมชาติจนรู้สึกได้เพราะมันสว่างผิดปรกติ แต่เสียงกีต้าร์อยู่ในโทนที่รับได้ครับ และให้เสียงไลน์กีต้าร์ค่อนข้างชัดทีเดียว แม้จะไม่สามารถถ่ายทอดความละเอียดได้เท่ากับ Grado MS-2 เสียงอย่างเดียวที่เนื้อของย่านสูงน้อยไปหน่อย เลยทำให้น้ำหนักของสายกีต้าร์ขาดความสมจริงไปนิดนึง
น่าแปลกที่เสียงกลางโดดเฉพาะพวกเสียงกลองกลับให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากกว่า แต่จะติดออกขุ่นนิดๆเหมือนมีม่านบางๆขวางอยู่เล็กน้อย น้ำหนักเวลาที่ไม้หวดลงบนหน้าหนังกลองก็ให้ความรู้สึกที่หนักแน่นดีครับ แต่หน้าหนังกลองกลับให้ความรู้สึกเหมือนทึบนิดหน่อย แม้การถ่ายทอดรายละเอียดของทอมแต่ละลูกจะทำได้ดีและแยกแยะได้ง่ายเพราะระดับของเสียงให้ความรู้สึกไม่เท่ากันได้ค่อนข้างชัดเจน แต่กลับให้เนื้อที่น้อยจนรู้สึกว่ากลองมันออกโปร่งๆไปหน่อย แต่สิ่งที่ผมชอบกลับเป็นจังหวะของไม้ที่ตีลงแต่ละครั้งไม่ว่าจะรัวเยอะแค่ไหน ตัว P200 กลับโชว์ให้เห็นได้จนหมดจรดกันเลยทีเดียว
เสียง Vocal แม้จะ Focus image ได้ดี และให้รูปทรงที่ออกเป็น 3 มิติ แต่ image เล็กไปนิด และเนื้อเสียงน้อยไปหน่อย ขาดมวลและความหนาแน่นไปนิด แถมยังติดออกทื่อบางๆ อาจจะไม่ถูกใจคนที่ชอบกลางหนาๆ แต่ถ้าฟังเพลงโดยทั่วไปถือว่าไม่ขี้เหร่ครับ โดยเฉพาะถ้าเพลงที่เน้นเสียงร้องผู้หญิงเป็นหลัก จะให้ความลงตัวที่เหมาะสมดีครับ แต่ผมก็อยากให้มวลเยอะกว่านี้อีกซักนิดจะดีมาก
เสียงเบสน่าจะโดนใจวัยรุ่นเพราะให้ impact ที่ดีมาก middle เบสที่ชัดเจน และมี deep bass ด้วย แต่เบสไม่บวมเลยครับและไม่ได้มี impact ล้วนๆเหมือนพวกหูฟังที่เน้นสายเบสเป็นหลัก เบสของ P200 จะคุมได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะ impact ก็ไม่ได้เกินหน้าเกินตาย่านอื่นๆ ส่วน middle เบสก็ให้เมโลดี้เบสได้ดีแม้จะไม่แน่นดึ๋งดั๋งแบบ Shure SE530 แต่ก็ถือว่าให้มาได้ดีในระดับนึง และแยกส่วนออกอย่างชัดเจนไม่กลืนไปกับเสียงย่านอื่นๆเลย ส่วนของ deep bass ก็ลงได้ลึกดี แต่ถ้าชอบ deep มากๆอาจจะรู้สึกว่ามัน Roll Off ไวไปหน่อย แต่ผมว่ามันอยู่ในระดับกำลังดีแล้วครับ ถ้าไปต่อแอมป์ที่เสริมด้านเบสโดยเฉพาะจะยิ่งช่วยให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ตัวหูฟังถือว่าค่อนข้างกินกำลังขับพอสมควร แม้จะแค่ 32ohm แต่ก็เล่นเอา iPOD ผมเปิด Volume ไปเกือบสุดเหมือนกัน แถมยังรีดคุณภาพออกมาไม่หมดด้วย ต้องเอาไปต่อแอมป์อีกเพื่อให้มันออกมาเต็มกว่าต่อตรง แต่ผมพยายามรีวิวแบบต่อตรงๆนะครับ เพราะเค้าทำมาโดยเน้นการต่อตรงมากกว่า อีกอย่างถ้าต่อตรงจะแสดงศักยภาพของหูฟังได้ดีกว่าการผ่านแอมป์หรือ DAC ที่ผ่านการปรุงแต่งมาในระดับนึงแล้ว โดยรวมผมถือว่าตัวนี้ทำได้ค่อนข้างดีกว่าที่ปรามาสไว้ เสียงค่อนข้างครบเครื่อง ไม่จัดจ้านบาดหู เสียงสูงกลางและต่ำมากันหมด และให้มิติกับ soundstage ที่ดี การแยกชิ้นดนตรีก็ทำได้ดี แต่เสียงไม่ค่อยจะเป็นธรรมชาติเท่าไหร่ และมวลเสียงกลางน้อยไปนิด แต่จากคุณภาพงานและราคาก็ถือว่าพอจะผ่านเกณฑ์ได้อยู่ อย่างน้อยๆ Dr. Dre Studio ก็เริ่มหนาวๆแล้วละครับ อันนี้ต้องขอบคุณทาง Suntoshi ที่เป็นตัวแทนนำเข้านะครับ อุตส่าห์เอามาให้ผมยืมมารีวิวและดอง ตอนที่ผมทำรีวิวอยู่ยังไม่เห็นมันวางขายที่ไหนนะ แต่เห็นแวบๆว่า Sanookgadget กำลังเตรียมจะวางขายอยู่ ใครสนใจก็ลองติดต่อไปดูแล้วกันครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น