วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

< Review > NearFA ลำโพงไร้สายภาคพิศดาร

NearFA Speaker






          รูปแบบลำโพงปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากที่ใหญ่โตมโหฬารจนย่นย่อส่วนมาเหลือเล็กนิดเดียวและพกพาได้ง่ายแถมยังมีภาคขยายในตัวอีกตะหาก และยังลามไปถึงเทคโนโลยีแบบไร้สายตั้งแต่แบบ Bluetooth ไปจนถึงลำโพงแบบ wi-fi และล่าสุด รูปแบบลำโพงที่ปฏิวัติการเชื่อมต่อทั้งหมดที่เคยมีมา นั่นคือ “ NearFA”

         รูปแบบการเชื่อมต่อของลำโพงแบบ “NearFA” หรือ Near Field Audio เป็นเทคโนโลยีที่คิดค้นโดยบริษัท SmartTV โดยจะเป็นการใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Electromagnetic Induction” ซึ่งจะใช้วิธีดักจับอิเลคตรอนจากลำโพงที่อยู่ใกล้ๆ โดยเฉพาะพวกลำโพงมือถือ เพราะระยะของอิเลคตรอนจะอยู่ใกล้และจับได้ง่ายกว่า แล้วดึงเอาอิเลคตรอนเหล่านั้นมาเข้าที่ระบบของลำโพงโดยตรง ทำให้มีเสียงออกมาโดยไม่ต้องต่ออะไรให้ยุ่งยาก เพียงแค่วางให้ตำแหน่งตรงจุดเท่านั้นเอง ข้อดีของลำโพงแบบนี้คือ ไม่ต้องมานั่ง Pair เหมือนพวก Bluetooth และมันเป็นคนละแบบกับ NFC ที่จะตัวเครื่องมือถือจะต้องมี NFC ด้วยถึงจะใช้ได้ ดังนั้นตัว NearFA จึงใช้งานได้สะดวกกว่า และครอบคลุมมือถือได้หลากหลายมากๆ กระทั่งมือถือรุ่นโบราณๆอย่าง “Nokia N73” ก็ยังสามารถใช้งานได้เช่นกัน แต่อาจจะไม่ดีเท่าพวกมือถือรุ่นใหม่ๆเพราะระยะของลำโพงมันจะห่างกว่าพวก smarphone รุ่นหลังๆ   





           จริงๆในตอนแรกผมเข้าใจว่าน่ามันคงลักไก่ใช้ไมค์มาจ่ออยู่ตรงด้านในเคสแถวๆช่วงที่เป็นส่วนรับสัญญาน ผมเลยลองเอาด้านที่เสียงออกมาจ่อลงตรงๆ ปรากฏว่าเสียงไม่ออกครับ ต้องแนบเอาส่วนใกล้ๆดอกลำโพงของตัวมือถือเสียงถึงจะออกมา ก็ถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้าง surprise เอามากๆ ผมยังนึกภาพการทำงานมันไม่ออกเลย เพราะอย่าง NFC มันก็จะมีตัวส่งสัญญานที่เห็นได้ชัดว่ามันใช้งานร่วมกับตัวรับ แต่ของ NearFA มันไม่มีอะไรแบบนั้นครับ ดักอะไรได้เสียงก็ออกมาอย่างนั้นเลย มันเลยจะสะดวกกว่า NFC เยอะมาก แทบจะไม่จำกัดรุ่นมือถือกันเลยทีเดียว แต่จะดังหรือเบาก็ขึ้นอยู่กับการวางลำโพงของมือถือที่แต่ละเจ้าผลิตออกมาเท่านั้นเอง

           และพอดีที่ได้มารีวิว 2 ตัว ผมก็เลยจับมา review ไปพร้อมๆกันเลยครับ เพราะรูปแบบมันก็คล้ายๆกันแต่จะแตกต่างกันตรงที่จำนวนดอกลำโพงเท่านั้น เพราะตัว Touchplay 5 จะมีเพียงดอกเดียวแต่ตัว Touchplay 3 จะมีถึง 3 ดอกลำโพง ถึงแม้จำนวน driver ของ touchplay 5 จะน้อยกว่า แต่ขนาดของดอกลำโพงจะใหญ่กว่านะครับ พูดง่ายๆคือเอาขนาดเข้าข่มกับจำนวนนั่นเอง มาเริ่มกันที่ตัวแรกก่อนเลยนะครับ



TouchPLAY 3







             ตัว TouchPLAY 3 จะเป็นรุ่นที่มี 2 driver และถ้าว่ากันถึงเรื่องความดังของเสียง ตัว TouchPLAY 3 เองน่าจะดังกว่าทุกๆรุ่นด้วยซ้ำครับ เพราะแม้ TouchPLAY 5 จะมีขนาดดอกที่ใหญ่กว่าแต่ความดังกลับแพ้ขาด และคุณภาพเสียงโดยรวม ทาง TouchPLAY 3 จะทำได้ดีกว่าด้วยซ้ำครับ

             ตัว body ของ TouchPLAY3 ส่วนด้านบนที่เป็นจุดวางมือถือจะเป็นพลาสติกเคลือบด้านแบบหนืดมือนิดๆ เพื่อให้มือถือไม่ลื่นหล่นลงมาง่ายๆ และยังสามารถใส่ถ่านแบบ AA 3 ก้อนเพื่อใช้งานนอกสถานที่ได้ด้วย ในกรณีอยู่ติดอยู่ที่บ้าน เราก็ใช้วิธีเสียบไฟเลี้ยงเข้าทาง usb แทนก็ใช้ถ่าน ซึ่งก็สามารถต่อจาก Adaptor ของ iphone เอง หรือต่อจาก PC ได้ทันที ขนาดอาจจะดูใหญ่และอ้วนไปนิดเมื่อเทียบกับลำโพงพวก X-mini แต่ปัญหาเรื่องการ support น่าจะน้อยกว่าครับ เพราะมือถือบางรุ่นโดยเฉพาะพวกตระกูล NOKIA และ Blackberry มักจะชอบมีปัญหาเวลาฟังเพลงผ่านแจ๊ค 3.5 เพราะการต่อขั้วด้านในตัวแจ๊คไม่ได้ต่อแบบมาตรฐานสากล ดังนั้นเวลาซื้อหูฟังหรือลำโพงที่ไม่ได้ทำมารองรับกับมือถือที่ว่ามาก็จะมีปัญหาเสียงเบาบ้าง เสียงไม่ออกบ้าง แต่ถ้าใช้กับระบบ NearFA ก็จะช่วยลดปัญหาพวกนี้ได้สบายๆ

             การทำงานของ NearFA จะสมบูรณ์ก็ต่อมาเราวางมือถือได้ตำแหน่งพอดิบพอดี ซึ่งบน TouchPLAY3 จะมี mark ของตำแหน่งเอาไว้ แต่การวางพวกนี้ก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ถ้าห่างจากจุดเสียงมันก็จะค่อยๆเบาเท่านั้นเอง เราก็แค่ค่อยๆเลื่อนให้มันตรง เสียงก็จะดังออกมาเอง และตัวลำโพงจะไม่มีการกดลดหรือเพิ่มเสียง ระดับของเสียงจึงต้องปรับเอาจากมือถือเท่านั้น
       
            นอกเหนือจากการวางแบบปรกติแล้ว ตัว TouchPLAY3 ก็มีช่องต่อแบบ AUX in มาให้ด้วย เผื่อไว้ในกรณีที่มือถืออันนั้นเกิดมีปัญหาไม่ match หรือวางแล้วเสียงเบาเกินไป การต่อแบบ AUX ก็จะช่วยเสริมให้เราสามารถฟังเสียงได้ดังสนั่นบ้านเหมือนเดิม




เรื่องของเสียง

             เสียงของ Touchplay3 จะเด่นที่กลางและสูงเป็นหลัก แน่นอนว่าลำโพงประเภทนี้ส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยมีเบสอยู่แล้ว เพราะ driver เบสค่อนข้างจะกินกำลังกว่าเพื่อน และเท่าที่ดูจากรูปแบบของดอกลำโพงก็เป็นสไตล์ดอกที่เด่นเฉพาะในเรื่องเสียงสูงและเสียงกลาง แต่เสียงจะไม่ออกจัดจ้าน และค่อนข้างดังเอามากๆเลยที่เดียว ดังแค่ไหน เอาเป็นว่าถ้าเปิดในห้างเสียงก็ดังจนคนหันมามองกันเลยทีเดียวครับ ส่วนเรื่องมิตินี่คงไม่ต้องพูดถึงสำหรับลำโพงแบบนี้ เน้นเอาดังเข้าว่าและเสียงไม่แตกก็พอเพียงแล้ว แต่ผมค่อนข้างประทับใจตรงที่คุณภาพเสียงจะไม่ออกดรอปเหมือนเวลาต่อพวกเคสขยายเสียง จริงๆหลายๆคนอาจจะสงสัยว่าเสียงที่ออกมามันจะเป็นยังไง คือ จริงๆแล้วเสียงมันก็คล้ายๆกับเวลาเราต่อผ่านช่อง AUX เลยครับ แต่ช่อง AUX จะได้เปรียบกว่าตรงที่เราสามารถเปลี่ยนสายดีๆได้ ซึ่งก็จะทำให้คุณภาพเสียงออกมาดีกว่าเท่านั้นเองครับ



TouchPLAY 5




         ตัว TouchPLAY5 จะมีจุดเด่นที่ดีกว่า TouchPLAY3 ตรงที่ touchPLAY5 สามารถใช้งานกับ iPAD ทั้งตัวธรรมดา และ iPAD mini ได้ทันทีครับ เพราะการออกแบบเคสที่ดีไซน์ให้ดอกลำโพงแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย และแถมตัวแท่นรองสำหรับวาง iPAD มาด้วย การใช้งานเลยจะดูหลากหลายกว่า และที่สำคัญ ตัว TouchPLAY5 จะ built-in แบตเตอร์รี่มาให้ด้วยเลย ดังนั้นเราสามารถใช้งานได้ทันที่ ซึ่งก็สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ระยะเวลาการชาร์ทนี่ผมไม่มั่นใจนะครับว่าใช้เวลานานแค่ไหนจนกว่าจะเต็ม เพราะยังไม่เคยเสียบรอจนเต็มซักที

         ตัว TouchPLAY5 จะใช้ body พลาสติกแบบด้านธรรมดาๆทั่วไป แต่ตรงช่วงที่ใช้วางมือถือ หรือ iPAD จะเป็นแผ่นยางแบบกันลื่นและเป็นรุ่นที่แปลกคือ ไม่มี mark spot ตำแหน่งในการวางมือถือ เวลาลองใช้ครั้งแรกๆผมยังนึกว่ามันเสียด้วยซ้ำ เพราะผมวางสลับด้าน เลยทำยังไงเสียงมันก็ไม่มีออกมา ต้องให้คนมานั่งสอนการใช้ถึงได้รู้ว่ามันใช้กันอีท่าไหนครับ สิ่งที่ชอบในตัว TouchPLAY5 คือเรื่องที่มันรองรับการใช้งานได้กว้างมากๆ กระทั่ง iPAD ตัวธรรมดาก็ยังวางได้นี่แหละครับทำให้ดูคุ้มกว่าตัว TouchPLAY3 แต่คุณภาพเสียงยังไงก็สู้ TouchPLAY3 ไม่ได้อยู่ดี

         ตัวลำโพงจะมีปุ่มเปิด/ปิดอยู่ด้วย แต่เวลาใช้งานจะงงๆนิดว่ามันทำงานหรือเปล่า เพราะตัวปุ่มมันสามารถกดเบาๆเพื่อเปลี่ยน mode เพื่อเพิ่มเบส หรือเพิ่มแหลมได้ โดยจะมีไฟแสดงสถานะเป็นสีต่างๆตามการปรับ แต่ที่ผมงงคือ บางทีไฟสถานะ on อยู่ แต่เสียงไม่ออกครับ ต้องกดย้ำเพื่อเปิดระบบใหม่มันถึงจะทำงาน เวลาที่มันทำงานเราจะรู้ได้ง่ายมาก เพราะมันจะมีเสียงครางดังออกมาเบาๆ อารมณ์ประมาณ poweramp ต่อกับลำโพงตรงๆนี่แหละครับ ทั้งสองรุ่นนี่สามารถต่อไฟเลี้ยงผ่านทาง usb ได้เลยนะครับ และเล่นระหว่างชาร์ตได้ด้วย รวมถึงไม่ลืมให้ช่อง AUX สำหรับใช้งานกรณีเครื่องมีปัญหากับการใช้งานลำโพง




เรื่องของเสียง

         อย่างที่บอกว่าเสียงชอง TouchPLAY5 จะสู้ TouchPLAY3 ไม่ได้ เพราะเสียงจะแห้งกว่า TouchPLAY3 และให้ dynamic ที่ด้อยกว่า แต่ข้อดีคือสามารถปรับรูปแบบของเสียงได้ ซึ่งถ้าปรับเป็นเน้นเบส เสียงก็จะเบาและออกขุ่นนิดหน่อย แต่ถ้าปรับเน้นแหลม เสียงก็จะดังขึ้นแต่ก็จะแห้งขึ้นเช่นกัน แต่ถ้าเกิดใช้มือถือรุ่นที่ลำโพงดังอยู่แล้ว มันก็จะไปแข่งกับเสียงของ TouchPLAY5 อีกต่างหาก เพราะระดับเสียงของ TouchPLAY5 ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความดังของลำโพงในมือถือ ดังนั้นถ้าลำโพงมือถือเสียงดังสุดก็ควรปรับ mode ให้ TouchPLAY5 ไปอยู่ในโหมดที่เสียงดังที่สุดด้วย ซึ่งก็จะช่วยเสริมเรื่องเสียงซึ่งกันและกันในทันที เรื่องระดับความดังนี่ ถ้าเกิดอยู่ในห้องระบบปิด เสียงก็ถือว่าดังมากๆครับ แม้อยู่ในที่โล่งๆไม่มีคนจอแจเยอะๆเสียงก็อยู่ในระดับที่ดังใช้ได้ แต่ถ้าอยู่ในสภาพที่มีผู้คนเดินไปมาวุ่นวายจอกแจกจอแจมมากๆก็เอาไม่อยู่เหมือนกันครับ เพราะโดยงานดีไซน์ของตัวนี้จะเน้นให้ใช้งานที่เป็นแบบส่วนตัวมากกว่า


         ภาพรวมของทั้งคู่จะเป็นลักษณะของลำโพงแบบ Portable ที่ชัดเจน การใช้งานถือว่าแหวกแนวกว่าเพื่อนเพราะไม่ต้องมานั่งเสียบกับรูหูฟังให้เสียเวลา และไม่ต้องวุ่นวายกับสัญญาน Bluetooth อีกด้วย กระทั่งมือถือรุ่นเก่าๆก็ยังสามารถใช้งานได้ด้วย คุณภาพเสียงก็ถือว่าพอรับได้ในระดับนึง อย่างน้อยๆก็ดีกว่าลำโพงในเครื่องมือถือเอง ถ้าใครชอบเทคโนโลยีแปลกๆใหม่ๆ ก็น่าจะชอบของแปลกอย่างลำโพงซีรี่ย์ TouchPLAY ได้ไม่ยากครับ







ไม่มีความคิดเห็น: