วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

[ Review ] Fostex TH600 ขุนศึกมือขวาระดับปรมาจารย์จากค่าย Fostex

Fostex TH600






     และแล้วก็ได้กลับมา review Fostex กันอีกรอบ หลังจากผ่านทั้งหูฟังระดับล่างๆไปจนถึง DAC ของแบรนด์นี้กันบ้างแล้ว คราวนี้เรามาดูระดับรองท๊อปที่เป็นเกรด Hi-End ของทางค่ายนี้กันมั่ง จริงๆตัว Fostex เองจะมีรุ่น Flagship คือตัว TH900 อยู่แล้ว แต่ปัญหาของรุ่นนั้นคือราคาที่ค่อนข้างสูงเพราะใช้วัสดุระดับพรีเมี่ยมจริงๆ ดังนั้นทาง Fostex เลยเปิดตัวรุ่นที่ราคาย่อมลงมาหน่อยเป็นตัว Fostex TH600 นี่แหละครับ และเปลี่ยนจาก Housing ที่เป็นไม้ Cherry Birch มาเป็น Housing แมกนีเซียมแทน ทำให้น้ำหนักเบากว่า TH900 แต่ดันไม่แถมขาตั้งมาให้เหมือนที่แถมกับ TH900 ไม่งั้นจะเป็นหูที่ดูหล่อกว่านี้เยอะ

   



ภายนอก


       งานกล่องของ TH600 ผมว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียวครับ ไม่เหมือนทาง Audio-Technica ที่งาน packaging ไม่ได้เรื่องเลย ตัวกล่อง TH600 เป็นแบบกล่องสีเทาแบบแข็งแล้วมี sleeve สวมทับภายนอกอีกที เปิดฝามากก็จะเจอ TH600 นอนแอ้งแม้งในฟองที่ไดคัทเป็นรูปทรงของหูฟัง เมื่อหยิบจับออกมาชื่นชมก็จะรู้สึกที่ความเย็นที่ Housing ( ถ้าตากแดดอยู่ก็จะเป็นร้อนครับ พอดีผมเปิดกล่องในห้องแอร์ : ) ตัวสไลด์ปรับระดับ smooth มือดีมากๆ ระดับพอๆกับพวกหูฟัง Hi-End ทั่วๆไปเลยทีเดียว ตัวสายใช้เป็นสายผ้าถักหุ้มเหมือนพวก Audio-Technica L3000 คือจะว่าไป ทั้งสายและแจ๊คจะเหมือนของ L3000 มากๆเลยครับ ไม่รู้ว่าสั่ง part ส่วนนี้มาจากที่เดียวกันหรือเปล่า แต่งานทั้งสายและแจ๊คก็เกรดระดับ TOP แล้วละครับ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเจออาการไส้ไหลเหมือน L3000 บ้างหรือเปล่านะครับ แต่เท่าที่ลองลูบๆคลำๆก็ยังไม่เจอปัญหาอะไรให้ต้องติ







        ตัว PAD ค่อนข้างนิ่มถึงนิ่มมากๆ และสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายด้วย แต่ตัว PAD จะมีแกนพลาสติกเป็นแผ่นวงกลมติดมาด้วยเวลาเราถอดออกมา ซึ่งแผ่นนี้ห้ามทำหายเด็ดขาดเพราะเป็นตัวทำให้ PAD ล๊อคติดกับตัวหูฟัง ถ้าไม่มีก็จะสามารถใส่ PAD ได้เลย ส่วนการใส่ค่อนข้างสบายเลยทีเดียว ด้วยความที่หูฟังไม่ได้หนักมากมายแถมไม่หนีบหูด้วย ทำให้เราไม่รู้สึกหนักหัวและอึดอัดแต่อย่างใด สามารถใส่นานๆได้สบายๆ แม้จะไม่นุ่มนวลเท่าตัว w5000 แต่ก็อยู่ในระดับน้องๆเลยครับ การที่เลือกเอาแมกนีเซียมซึ่งมีน้ำหนักเบามาใช้เป็น housing ทำให้น้ำหนักที่ได้ค่อนข้างแตกต่างจะหูฟัง Hi-end อื่นๆที่ใช้ไม้หรืออลูมีเนียมมาเป็นส่วนประกอบ อาจจะไม่เบาเท่า HD800 แต่ผมว่าน้ำหนักกำลังโอเคเลยครับ
      



เรื่องเสียง

                                      
            ถ้าพูดถึงเรื่องเสียงโดยส่วนตัวผมว่าแนวเสียงก็จะเป็นในลักษณะเดียวกันกับ TH900 แต่จะให้ความรู้สึกที่ดรอปกว่า เพราะ Signature ของ Fostex จะออกมาในโทนๆเดียวกันหมด คือจะออกแนวคมชัดและเจือความเป็น monitor ติดมานิดๆ ถ้าพูดตามตรงเสียงแนวๆนี้เหมือนจะเริ่มมาเป็นโทนเสียงหลักๆ เพราะดูจากแนวทางที่ทั้ง Sennieser ทำให้กับ HD800 และ Ultrasone Edition10 ก็จะให้แนวของเสียงมาทางนี้กันเกือบหมด ไม่เว้นแม้แต่ AKG ที่รุ่นหลังๆอย่างพวก K550 ที่ก็จะเริ่มไม่เน้นเรื่องมวลเท่าไหร่แล้ว น่ากลัวว่าอนาคตข้างหน้าคนที่ติดรูปแบบแนวเสียงที่ครบเครื่อง ที่มีเนื้อและมวลที่ชัดเจนอาจจะต้องย้อนกลับไปเล่นหูฟังยุคก่อนๆแทน หรือไม่ก็จัดตัวแพงๆจับคู่กับแอมป์ที่เน้นมวล เพราะยุคต่อๆไปคงจะมาแนวๆนี้กันหมดแล้วละครับ

                ลักษณะเสียงของ TH600 ถ้าไม่นับ TH900 ก็จะไปคล้ายคลึงกับ Audio-Technica W1000x มากๆครับ แต่ลักษณะของมิติและ soundstage จะไม่เหมือนกัน เพราะของ W1000x จะเน้นออกด้านข้าง แต่ของ TH600 จะถอยออกไปด้านหลัง ทำให้ soundstage ด้านข้างจะดูแคบกว่า W1000X มากๆ และด้วย housing ที่ทำมาจากแมกนีเซียมอัลลอยด์ ทำให้เสียงที่ได้ค่อนข้างคมและชัดกว่า w1000x แถมจะมีเสียงเอคโค่ในย่านเสียงสูงบางๆตามสไตล์ของ housing ประเภทเหล็กอีกด้วย

                มิติของ TH600 จะคล้ายกับ Fischer FA-003 ที่สุด แต่คุณภาพของ TH600 จะดีกว่า เพราะการแยกชิ้นดนตรีของ TH600 จะขาดกว่า ด้วยพลังของแม่เหล็กระดับ 1000 gauss ทำให้เสียงที่ได้ทั้งนิ่ง ชัด และไม่ไปกวนเกี่ยวกับ image ย่านอื่นๆเลย (*เผื่อสำหรับคนที่งงว่ากวนเกี่ยว มันคืออะไร  จริงๆกวนเกี่ยว มันคือ อาการที่เสียงที่เสียงมันเข้าไปกวนกับย่านอื่นๆ และขอบเสียงของ image อันนึงมันไปเกี่ยวโดน image เสียง อีกตัวนึง นั่นเอง มันต่างกับ กวนเฉยๆตรงที่บางทีการที่เสียงเข้าไปกวนมันคือไปปนๆกับ image อื่นๆ แต่กวนเกี่ยวจะอยู่แค่ราวๆขอบเสียงมาเกยโดนกันเท่านั้นเอง ผมย่นคำให้มันสั้นลงจะได้พิมพ์ง่ายๆ แต่ก็ต้องมาอธิบายยาวๆอยู่ดี -_-‘a)  การวาง image จะเน้นออกไปทางหลังหัวเป็นหลัก แต่พวก vocal จะค่อนข้างแยกออกจากเพื่อน และมีตำแหน่งอยู่ทางด้านบนหัว ซึ่งก็จะถอยออกไปทางด้านหลังพอประมาณ ส่วนชิ้นดนตรีอื่นๆก็จะมีทั้งวางข้างๆและถอยออกไปด้านหลังไกลๆ แต่บางเพลงที่หูฟังบางตัวจะให้ image ที่อยู่ข้างๆหูเรา ตัว TH600 จะจับถอยออกไปอีกนิดนึง จะไม่อยู่ข้างๆหูเราเป๊ะๆเท่าไหร่ 





                  ส่วน background ค่อนข้างสงัดมากครับ แทบจะไม่เจอ noise floor เลย ซึ่งการที่มันสงัดแบบนี้ทำให้ image ดูเด่นขึ้นมากเกือบทุกชิ้นแม้แต่ชิ้นที่บางเพลงจะให้เสียงบางๆและหูฟังแพงๆบางตัวยังแทบฟังไม่ได้ยิน แต่ของ TH600 ได้ยินชัดหมด เก็บได้เกือบทุกเม็ด และให้ความรู้สึกที่สด คมชัด ดีมากๆ การเก็บรายละเอียดดีขนาดที่บางเพลงผมไม่เคยได้ยินบางเสียงมาก่อน  โดยเฉพาะบาง track ที่อัดมาแบบค่อนข้าง live นิดๆ มันจะมีเสียง ตึ่กๆเบาๆ ซึ่งถ้าเป็นหูฟังตัวอื่นผมจะไม่เคยรู้เลยว่ามันมีเสียงนี้ เพิ่งจะมารู้ก็ตอนฟังกับ TH600 นี่แหละครับ

                เสียงสูงของ TH600 จะค่อนข้างคมและจัด เสียงสูงจะให้โทนออกกลางๆไปทางอุ่นๆ  จะไม่ได้ออกมาทางแนวสูงเย็นใสฟังสบาย เสียงพวกตระกูลเครื่องสายนี่จะชัดเจนมากๆ ยิ่งกีต้าร์โปร่งนี่จะเข้ากันได้ดีกับหูฟังตัวนี้มากๆครับ เพราะจะเก็บรายละเอียดน้ำหนักการลงของสายได้หมดทุกเม็ด อันนี้หมดจริงๆนะครับ เพราะให้รายละเอียดของแต่ละเส้นชัดเจนมากๆ และมีปลายเสียงที่ดีด้วยไม่มีอาการห้วนหรือหดจนฟังแล้วหมดอารมณ์ แต่เสียงสูงจะไปคาบเกี่ยวย่านกลางด้วยนะครับ ทำให้นักร้องที่มีเสียงที่ติดไปทางย่านกลางสูง จะให้เสียงร้องที่ออกคมๆจัดๆหน่อย แต่ถ้าเบิร์นแล้วจะไม่จัดจนฟังไม่ได้ครับ เสียงจัดจ้านจะอยู่ในระดับกำลังดี คล้ายๆของ RS1 นั่นแหละครับ ถ้ารับเสียงร้องแบบ RS1 ได้ก็รับตัวนี้ได้สบาย

                เสียงกลางจะชัดอยู่แล้วหายห่วง เป็นเสียงกลางที่ชัดและคม แต่ข้อดีของ TH600 คือ ถ้าเพลงไหนอัดเสียงย่านกลางให้ออกทางกลางต่ำ เสียงที่ได้จะไม่จัดจ้านเลยครับ เสียงจะออกมาพอเหมาะพอเจาะฟังสบายไหลลื่น ดังนั้นการที่เราเอาแอมป์ที่เด่นเสียงกลางและเกลาเสียงแหลมมาประกบ จะช่วยให้ TH600 น่าฟังมากยิ่งขึ้นในกรณีที่เราไม่ชอบเสียงจัดๆ

                ใน set กลองเองก็จะชัดมากๆ โดยเฉพาะเพลงที่ใช้เทคนิคการตีกลองด้วยมือเปล่า จะแสดงศักยภาพของหูตัวนี้ได้ดีที่สุด เพราะการเก็บรายละเอียด จังหวะเคาะและการให้น้ำหนักตั้งแต่การตีอย่างหนักจนไปถึงสลับการตีแบบเบาๆ และการใช้แต่ละช่วงของมือในการเคาะ ตบ และตี ทุกอย่าง TH600 แจงรายละเอียดออกมาได้หมดจนหลับตาและเห็นภาพของมือกลองกำลังโซโล่ไปในแต่ละจังหวะได้อย่างชัดเจน ถ้าใช้ไม้ตีกลองก็จะได้ยินรายละเอียดกระทั่งเสียงของไม้เวลาที่เคาะกับขอบกลอง แต่เสียงอาจจะดูคมผิดธรรมชาตินิดนึง ส่วนหนึ่งก็น่าจะมาจากการอัดเพลงต้นฉบับด้วยที่มาแบบเสียงชัดเป็นพิเศษ ในอดีตผมมีความรู้สึกว่าเฉพาะพวก set กลองไม่น่าจะมีอะไรทำได้ดีเท่า ultrasone แล้ว แต่ตอนนี้มีตัวนี้แหละครับ Fostex TH600 ที่เป็นคู่มวยที่เหมาะสมที่สุด น่าเสียดายที่ image จะออกเล็กไปนิดเมื่อเทียบกับขนาดของหูฟัง ทำให้นักร้องดูตัวลีบๆไปหน่อย ถ้าได้ set ที่ Matching มันจริงๆน่าจะออกมาได้ดีกว่านี้ครับ


              

              เสียงเบสถ้าเทียบกับ TH900 ก็ถือว่าน้อยกว่าพอสมควรครับ แต่โดยตัวมันเองก็ให้เบสที่อยู่ในระดับที่ดีอยู่แล้วครับ ตัว image เบส focus ได้ดีมากครับ ตำแหน่งของเบสค่อนข้างแน่นอน ไม่มีอาการส่ายหรือสวิงย้ายไปย้ายมา ซึ่งอาการแบบนี้พวกหูฟังราคาถูกๆจะเป็นกันเยอะมาก ช่วง impact เกือบจะดีครับ คือให้แรงปะทะที่ดีแต่รูปร่างของ image ยังไม่ดีเท่าไหร่เมื่อเทียบกับพวก HD650 ที่ให้รูปร่างเบสที่ดีกว่า แต่ด้วยความที่มันไม่ได้ sensitive ต่อเบสมากมายนักทำให้เวลาไปจับคู่กับ player หรือ ชุดเครื่องเสียงที่ออก flat หน่อยจะให้มวลเบสที่ไม่เยอะเท่าไหร่ และจะดูเหมือนบางนิดๆ แต่ส่วนของ middle เบส ตัวนี้กลับทำได้ค่อนข้างดีครับ คือ middle ชัดเจนและให้ความไหลลื่นเป็นเมโลดี้ที่ดีมากๆ ส่วนของ deep ไม่ต้องห่วงครับ ลงได้ลึกดีมากๆแถมให้น้ำหนักทิ้งตัวได้ดีด้วยครับ ตัวเบสเองก็มวลไม่ได้เยอะมากมายอะไรทำให้ไม่มีอาการบวมหรือกวนย่านอื่นเลยครับ ระดับของเบสอยู่ในระดับกำลังดี ไม่เยอะหรือน้อยเกินไป 



ภาพรวมของหูฟังตัวนี้จะให้โดดเด่นที่ย่านสูงเพราะจะเก็บรายละเอียดได้ครบถ้วนดีมากๆ แต่ soundstage ไม่ได้กว้างมากมายอะไร หนักไปทางมิติที่ออกไปทางหลังหัวและเก่งในเรื่องการแยกชิ้นดนตรีมากกว่า ตัว ambient ของหูฟังตัวนี้จะออก dark นิดๆ แต่ฟังแล้วไม่อึดอัดแต่อย่างใด จริงๆตอนแกะกล่องใหม่ๆนี่ผมแทบจะปาทิ้งเลยครับ เสียงมันทั้งคมทั้งจัด ทั้งแห้ง จนฟังไม่ได้เลยต้องจับเอาเบิร์นถึงจะหาย และหูฟังตัวนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการเบิร์นอย่างต่ำๆ 500 ชั่วโมงนะครับ ถึงจะเริ่มเข้าสู่ระยะเข้าที่ของมัน ช่วง 100 ชั่วโมงแรกนี่ยังไม่เข้าท่าเลยครับ จะไปเริ่มดีขึ้นอีกทีที่ราว 300 ชั่วโมง โดยเฉพาะเบสจะเริ่มออกมาเต็มที่มากขึ้น
                มันเป็นหูฟังที่ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวเข้าหามันนิดหน่อย เพราะถ้าเคยชินหูฟังอื่นๆมาและฟังใหม่ๆ จะรู้สึกไม่ชอบมันครับ เพราะลักษณะมิติที่และลักษณะเสียงที่ค่อนข้างเฉพาะตัวเลยทำให้ไม่ชิน พอไม่ชินคนบางคนก็จะบอกว่าไม่ชอบ แต่ถ้าปรับตัวเข้ากับเสียงมันซักพักเปิดฟังไปซัก 2-3 เพลง จนเริ่มคุ้นเคยกับมันดี มุมมองที่มีต่อหูฟังตัวนี้ก็จะเปลี่ยนไปเลยครับ เพราะจะรู้สึกดีกับมันมากขึ้น แต่จะชอบหรือไม่ชอบอันนี้ก็อยู่ที่รสนิยมส่วนตัวกันแล้วละครับ







ไม่มีความคิดเห็น: