FERRARI G150i
หลังจากที่ได้รีวิวรุ่นพี่กันไปบ้างแล้ว
คราวนี้เรามาดูรุ่นน้องที่เป็น in-ear กันบ้าง ตัว in-ear เองผมเลือกเอา
CALVALLINO series มารีวิวเพราะอีกซีรี่ย์นึงเค้าไม่ได้ให้มานั่นเอง ตัวรุ่น in-ear
ที่ได้มาคือรุ่น
G150i ซึ่งเป็นรุ่นที่เป็น Control Talk นั่นเอง คือจะมีทั้งไมค์และส่วนของ
Control มาให้ด้วย แต่น่าเสียดายที่มันไม่ support ตระกูล Android
ดังนั้นเต็มที่เราก็จะใช้ได้แค่
Fuction หยุดเพลง กับ เริ่มเพลงเท่านั้นเอง ไม่สามารถเพิ่มหรือลดเสียงได้
แต่ถ้าคนใช้ iPhone , iPad , iPod touch นี่ไม่มีปัญหาใดๆเลยครับ
น่าแปลกนิดนึงตรงที่มันไม่สามารถใช้ fuction ใดๆได้เลยกับ iPOD
Classic ตัว 80Gb ไม่มั่นใจว่ากับรุ่นล่าสุดอย่าง 120gb จะมีปัญหาด้วยหรือเปล่าเพราะผมไม่มีไว้ทดสอบ
ใน website ของทาง Logic3 เองก็ระบุไว้ว่า support iPOD Classic
(2009) ดังนั้นตามหลักมันควรจะใช้ได้
แต่เอาเข้าจริงๆมันดันไม่ทำงานซะอย่างนั้น
รูปร่างภายนอก
งานประกอบยังคงอยู่ในระดับที่ดีเหมือนเดิม
แม้แต่ตัวหนังหุ้มที่หุ้มช่วง body ของหูฟังก็ยังทำได้เนี้ยบดีมากๆ
แต่ตัวที่ผมได้มาจะมีปัญหานิดนึงตรงช่วงรอยต่อมันปูดนิดหน่อย ไม่แน่ใจว่าเป็นปัญหาจากตัวหนังเองหรือเปล่า
เพราะอีกข้างก็ประกบลงได้พอดิบพอดี แต่ก็ถือว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยครับ
ตัวสายทาง
Logic3 เลือกเอาสายหุ้มผ้าเหมือนรุ่นพี่
ซึ่งข้อดีของสายแบบนี้ก็เพื่อป้องกันอาการสายพันกันเป็นเกลียวและกันเหงื่อ
ซึ่งเอาเข้าจริงๆหลายๆคนก็บอกว่ามันออกแนวเก็บเหงื่อมากกว่าป้องกัน
แต่อย่างน้อยๆก็ยังช่วยกันไม่ให้ความเค็มมันเข้าไปถึงตัวสายด้านใน
มีจุดที่ต้องระแวงนิดเดียวตรงที่สายประเภทนี้มักจะเกิดอาการไส้ไหลได้ง่ายถ้าคุณภาพผ้าถักที่หุ้มไม่ดีพอ
ตรงจุดนี้คงต้องดูกันยาวๆครับ
ตัวเคสที่ให้มาใช้ภายลายเคฟล่าร์ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงมันก็คือเคสแบบเดียวกับหูฟังจีนหลายๆตัว
กระทั่ง Soundmagic เองก็ใช้เคสลายนี้ครับ แต่งานสู้ของ G150i ไม่ได้
การเก็บงานและรายละเอียดรอบเคสของ G150i จะทำได้ดีและเนี้ยบกว่า ตรงกลางเคสจะมีโลโก้ม้าผยองสีเงินโดดเด่นเป็นสง่า
ผมไม่แน่ว่าเป็นแบบ logo เย็บติดเลยหรือเปล่า
เพราะดูแล้วแข็งแรงและหลุดยากแน่นอนครับ
อีกอย่างเคสแบบนี้ก็เหมาะกับการเย็บติดอยู่แล้ว ส่วนด้านในบุด้วยผ้าสักหลาดธรรมดา
และแบ่งช่องไว้สำหรับใส่จุกยางเอาไว้ น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นเคสแบบพวกรุ่นพี่
ถ้าได้ลายแบบนั้นจะเท่ห์กว่านี้อีกครับ
เรื่องของเสียง
ถือเป็นหูฟังอีกตัวที่ให้มิติเสียงกลางและ
soundstage ที่ดีนะครับ มิติจะเกือบเป็นทรงแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลยทีเดียว
จะเน้นออก soundstage ด้านข้างและเป็นมิติขึ้นไปตรงส่วนของ headstage หรือมิติเสียงกลางซึ่งให้ระดับที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
แต่จะไม่เน้นออกด้านหลังหัวเรามากนัก
น่าเสียดายที่การแยกชิ้นดนตรียังไม่ขาดเท่าไหร่ เพราะให้ image ชิ้นดนตรีที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร
ถ้าเพลงรัวๆหรือหนักๆจะมีอาการซ้อนกันบ้าง ลักษณะการแยกชิ้นดนตรีจะใกล้เคียงกับที่
soundmagic PL11 ทำได้ครับ แต่การแยกชิ้นดนตรีนี่ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่นะครับ
ด้วยความที่ soundstage กว้างทำให้มันวาง image ได้ค่อนข้างไกล ถ้าไม่ติดว่ามาอยู่ในตำแหน่ง
layer ของชิ้นดนตรีใกล้ๆกัน มันก็สามารถแยกออกได้สบายๆ
แต่บรรยากาศของเสียงโดยรวมจะออกดาร์คหน่อยนะครับ
ใครไม่ชอบความดาร์คให้ผ่านได้เลยครับ
การ
focus image เสียงร้องค่อนข้างดีทีเดียวครับ ให้รูปทรงที่ดีและชัดเจน
แต่เสียงร้องจะออกแห้งและบาดหูนิดๆ ต้องต่อผ่านแอมป์หรือ dac ดีๆจะช่วยแก้เรื่องอาการเสียงแห้งได้ครับ
แต่ต่อตรงผมลองหลาย player แล้ว ไม่มีรอดซักราย
และทีเด็ดอีกอย่างของหูฟังตัวนี้คือเสียงกลองที่แปลกมากครับ
คือให้กลองที่มวลหนาพอสมควรทำให้น้ำหนักเสียงกลองใกล้เคียงกันหมดทุกลูกแต่ยังพอฟังอยากออกว่าเป็นกลองทอมลูกไหนได้
คือเสียงกลองจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่ครับ เหมาะสำหรับฟังเอามันส์มากกว่า
เพราะมีหัวโน้ตที่ชัด น้ำหนักที่แน่น แต่รายละเอียดไม่ค่อยดีเท่าไหร่
โดยเฉพาะเวลาตีลูกสแนร์บางทีผมก็ยังแยกไม่ออกเลยว่าเป็นสแนร์ครับ
ยกเว้นเวลาเคาะกลางสแนร์รัวๆเร็วๆอันนั้นจะพอแยกออก
แต่ถ้าตีเป็นจังหวะพร้อมๆกับทอมลูกอื่นๆผมก็งงเหมือนกัน
เสียงแหลมทำได้ชัดเจนดีครับ
หัวโน้ตชัดเจนและมีเนื้อที่ค่อนข้างดี แต่ปลายเสียงจะ roll off ไวมากๆ จุดที่เด่นคือการให้รายละเอียดเสียงกีตาร์ที่ต้องถือว่าให้รายละเอียดของเส้นได้ดีมาก
รับรู้ถึงน้ำหนักของสายกีตาร์ได้ในระดับนึง
แต่อย่าคาดหวังรายละเอียดครับผมจะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าไหร่ และถ้า image
กีตาร์ไม่ได้อยู่ด้านข้าง
แต่ย้ายไปอยู่แถว headstage เมื่อไหร่ จะออกแบนๆแทนทีครับ ที่สำคัญย่านแหลมจะติดแห้งนิดๆและมีปลายเสียงที่มนๆหน่อย
เสียงเบสค่อนข้างใหญ่
มี impact ที่ดีและให้มวลที่เยอะ แต่รูปร่างไม่เป็นทรงเท่าไหร่ ออกแนวแบนๆหน่อย
แต่ดีที่ไม่ไปกวนย่านกลางนะครับ ซึ่งอันนี้ทางแก้คือต้องเปลี่ยนจุกเป็นจุก Shure
ถึงจะหายและกลายเป็นเบสที่
focus ดีขึ้นมาทันที เบสโดยรวมจะค่อนข้างหนาครับ
ถึงแม้ว่ามันจะให้เบสที่ครบทั้ง upper bass , mid bass และ lower
bass แต่ด้วยความหนาของเบสทำให้ช่วง middle เบสดูหนาไปด้วย
ใครที่อยากได้ melody เบสสวยๆให้ข้ามไปได้เลยครับ ส่วน deep bass เองก็ลากลงได้ลึกดี
ผมว่าเบสค่อนข้างคล้ายก็ Sennheiser CX400 ที่ผมเคยฟังช่วงที่มันออกใหม่ๆเลยครับ เพราะ impact
เบสติดมัวนิดๆ
เนื้อหนาๆ ปลายเบสลงได้ลึก แต่จุดที่ดีคือมันไม่กวนเสียงกลางเลยครับ
น่าแปลกอยู่อย่างตรงที่เวลา image เบสกับ image เสียงกลางอยู่ใกล้ๆกัน
เวลาที่มีเสียงร้องขึ้น ตัวเสียงเบสจะดูเบาและบางลง
ทำให้มันไม่กวนย่านเสียงร้องเลย
ในภาพรวมของมันก็ถือว่าเป็นหูฟังแบบ
Fashion Headphone ที่ไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่เหมาะกับนักฟังเพลงระดับ audiophile
ที่เน้นคุณภาพมาก่อนรูปลักษณ์
แต่เหมาะกับคนที่หลงใหลใน Ferrari และมีความสุขกับการฟังเพลงที่เน้นความมันส์เป็นหลัก
ตัวนี้เหมาะแน่นอนครับ ปัญหามีอย่างเดียวคือ บ้านเราทำตลาดหรือเปล่า เพราะตั้งแต่ผมได้มารีวิวก็ยังไม่เห็นมีที่ไหนวางขายเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น